“ความเจ๋งอย่างหนึ่งของการศึกษาไทยคือชั่วโมงเรียนที่บีบรัดมากจนเด็กไม่มีโอกาสทดลองฝึกงาน เขาไม่รู้ว่าอาชีพต่าง ๆ เป็นอย่างไร” และแม้แต่กิจกรรมที่ช่วยให้รู้จักตัวเองดีขึ้นซึ่งใช้ระยะเวลาสั้นกว่าอย่างการเข้าค่ายพัฒนาทักษะหรือลงสมัครแข่งขันโครงการประกวดประชันความสามารถ “ก็ไม่ใช่สิ่งที่เด็กมัธยมปลายทุกคนจะได้รับโอกาส”
นี่คือความเห็นของ ณัฐ (ฤทัยธัมม์ โสฬศ) ศิษย์เก่าทุนแสดเหลืองเรืองรุ่ง ด้านความเป็นผู้นำ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งบทบาท ณ ปัจจุบันของเธอคือหนึ่งในผู้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพนาม Eduvice เทียบเคียงประมวลรายวิชา ที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลการศึกษาที่ครบถ้วนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และวางเป้าหมายระยะไกล “ไกลกว่านั้น อยากให้วงการการศึกษาไทยในช่วงมัธยมปลายมีอะไรมากกว่าการเรียนในห้องเรียน”
เมื่อถามถึงจุดเริ่มของ Eduvice ณัฐขอเล่าย้อนวันวัยไปยังช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
“ตอนนั้นณัฐเรียนโรงเรียนเตรียมวิศวกรรมศาสตร์ ไทย – เยอรมัน ของพระนครเหนือค่ะ” และรู้ชัดว่าตัวเองอยากเรียนต่อด้านนี้ “แต่ช่วงระหว่าง ปวช. ปีสามไปขึ้นมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ณัฐหลงทางมาก ความลับคือ ณัฐยื่นพอร์ต Active Recruitment ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีสี่รอบ แต่ไม่เคยติดอยู่ในรายชื่อที่มหาวิทยาลัยประกาศเลยสักรอบ ณัฐร้องไห้ สงสัยว่าทำไมถึงไม่ติด กังวลว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร คิดว่าคงไม่มีโอกาสเข้าเรียนที่ มจธ.” จนเวลาล่วงผ่านไปเกือบสัปดาห์ นับจากประกาศผลรอบที่สี่ ณัฐจึงได้รับอีเมลจากอาจารย์ “แล้วก็ติด เป็นตัวสำรอง”
เพราะจบ ปวช. สาขาเตรียมวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ณัฐคุ้นชินกับเทคโนโลยี เช่นนั้น การศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาช่วงปีแรก จึงไม่พบอุปสรรคมากนัก พอให้มีเวลาจับกลุ่มกับเพื่อน ๆ “เราชวนกันลงแข่ง Microsoft AI For Accessibility Hackathon และชนะเลิศเป็นที่หนึ่งของประเทศไทย
“ข้อดีของ Hackathon คือ เราได้ฝึกเขียนโปรแกรม ได้ฝึกแก้ไขปัญหา แต่หลังจากชนะ” เมื่อมีบริษัทรับโครงการไปดูแล “เราไม่ได้เห็นว่านวัตกรรมของเราจะสร้างประโยชน์ต่อหรือไม่ ข้อหนึ่ง อาจเพราะเราไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนา กับอีกข้อ อาจเพราะฝั่งพวกเราเองด้วยที่ไม่ได้หลงใหลในนวัตกรรมดังกล่าวมากพอ เรารู้ว่าสิ่งที่สร้างสามารถแก้ไขปัญหาตามโจทย์ได้ แต่เราไม่ได้อยากทุ่มเทเวลาไปกับการแก้ไขปัญหาจากโจทย์ที่ได้รับมาขนาดนั้น เหมือนเราแข่งขันเพียงเพื่อจะเอาชนะ เราแค่สนุกที่ได้สร้าง” จึงทำให้ไม่เกิดวงจรความยั่งยืน
“นวัตกรรมไม่ได้ ‘เกิดขึ้น คงอยู่ พัฒนาต่อ’ แต่เป็น เกิดขึ้น แก้ไขปัญหา มีบริษัทรับไป แล้วก็จบ”
เป็นชัยชนะอันว่างโหวง
จนกระทั่งเมื่อณัฐเข้าร่วมโครงการ Experiential Learning Program (ELP) ของอุทยานวิทยาศาสตร์ ที่สนับสนุนผู้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพระดับเยาวชน และผ่านเข้ารอบไปประเทศญี่ปุ่น จึงเห็นว่า “การมีแผนธุรกิจมารองรับนวัตกรรม ไม่ใช่แค่เพื่อทำให้เกิดผลกำไร แต่เราดำเนินธุรกิจและจัดการเงินทุนไป ก็เพื่อสนับสนุนนวัตกรรมให้ยั่งยืนขึ้น”
นี่เป็นครั้งแรกที่ณัฐรู้สึกสนใจการทำธุรกิจ
“ณัฐกับเพื่อนในกลุ่มพูดคุยกันว่า เราต้องไม่สร้าง ‘นวัตกรรมขยะ’ เราอยากพัฒนาสิ่งที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากกว่านี้ แต่เราทำอะไรได้บ้าง ปัญหาไหนที่เราใส่ใจอย่างจริงจัง”
ณัฐจำวันนั้นได้ดี ขณะยังอยู่ญี่ปุ่น สมาชิกในกลุ่มช่วยกันออกแบบตาราง ทำรายการว่าแต่ละคนสนใจปัญหาอะไรบ้าง “นี่คือสิ่งที่หลังจากนี้เราจะอยู่ด้วยไปตลอดแล้วนะ เราจะสร้างนวัตกรรมเพื่อแก้ไขปัญหาที่เลือกไปนาน ๆ” ซึ่งมีหลากหลายเรื่อง ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีอวกาศ และบล็อกเชน “แต่เรื่องหนึ่งที่โฟล์ค (ผู้ร่วมก่อตั้ง Eduvice) ให้ความสำคัญ
“คือเรื่องการศึกษา”
“โฟล์ครู้สึกว่ายากมาก ๆ สำหรับเด็กสักคนที่จะรู้จักตัวเองก่อนเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัย เขาเล่าถึงเพื่อนที่เก่งเคมีระดับ top of the class ซึ่งสอบติดคณะวิศวกรรมเคมี แต่แล้วตอนปีสอง เพื่อนคนนั้นก็ซิ่ว เปลี่ยนสายไปเรียนด้าน media art ซึ่งโฟล์คก็ช็อกว่า ‘อ้าว ทําไม ทำไมถึงซิ่ว’ ถ้าก่อนหน้านี้เพื่อนรู้ว่าไม่ได้ชอบเคมีขนาดนั้น แค่เก่งเคมี แต่ชอบวาดรูปมากกว่า เขาคงไม่ต้องเสียเวลาตั้งสองปี”
ณัฐฟังแล้วนึกถึงเหตุการณ์ครั้งตัวเธอส่งยื่นพอร์ต บอกเห็นด้วยว่าเป็นเรื่องยาก ที่เด็กคนหนึ่งจะขบคิดจนแตกฉานว่าตนอยากเรียนอะไร
“ณัฐก็มีค่ะ ช่วงเวลาที่อยากเลี้ยวไปเรียนด้านธุรกิจ ถ้าสมมุติไปเรียนสายธุรกิจหรือสายออกแบบ ณัฐอาจจะไปได้ไกลกว่านี้หรือเปล่า ณัฐไม่รู้ หรือบางหลักสูตรอาจจะเอื้อต่อการทำสตาร์ทอัพมากกว่านี้หรือเปล่า ก็ไม่มีใครรู้เช่นกัน แต่ที่เรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มาก็ดีนะคะ เพียงแค่ว่าเด็กแต่ละคนอาจจะมีที่ที่ดีที่สุดของตัวเอง แต่ว่าเด็กแค่ไม่รู้ Eduvice อยากช่วยให้เขามีทางเลือก”
แล้วถ้าเลือกได้อยากจะเรียนอย่างอื่นไหม
“ถ้าให้ย้อนกลับไปณัฐก็ยังจะเข้าวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ที่ มจธ. อยู่ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้เจออาจารย์เก่ง ๆ ไม่ได้ทำงานกับเพื่อนเจ๋ง ๆ ผู้ร่วมก่อตั้ง Eduvice"
Minimum Viable Product
เมื่อตกลงเลือก ‘เรื่องการให้คำแนะนำด้านการศึกษาแก่เยาวชน’ สมาชิกจึงตั้งคำถามต่อว่าปัญหานี้มีจริงหรือไม่ “หรือเป็นแค่ปัญหาของกลุ่มพวกเราเอง ซึ่งคำตอบก็คือ นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาของโฟล์ค ของเพื่อนโฟล์ค หรือของณัฐ แต่เป็นปัญหาของเพื่อนทุกคนในกลุ่ม”
เช่นนั้น
ณัฐจึงไปทดสอบ MVP (ผลิตภัณฑ์ที่มีการทำงานขั้นพื้นฐานเพียงพอจะตอบสนองความต้องการหลักของลูกค้า) ด้วยการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว และในกลุ่มต่าง ๆ ว่า เธอจะแจกพอร์ตให้ดู “ใครสนใจอยากดูพอร์ตที่ทำให้พี่ได้ทุนแสดเหลืองเรืองรุ่ง หรือพอร์ตของพี่พัตเตอร์ (ผู้ร่วมก่อตั้ง Eduvice) ที่ได้ทุนเพชรพระจอมเกล้าก็ทักมาเลย หรือถ้ามีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับการเข้ามหาวิทยาลัยก็ทักมา” ณัฐโพสต์ไปคืนวันอาทิตย์ มีคนทักมาขอคำแนะนำพอสมควร “ซึ่งณัฐตั้งใจตอบมาก จนกระทั่งง่วง เลยเข้านอนไป พอตื่นเช้ามาอีกทีก็...
“บูม!
“แชทระเบิด (หัวเราะ)"
มีผู้สนใจทักมาราวสองร้อยคน "ตอบไม่ไหวเลย”
หลังกลับจากญี่ปุ่น
สมาชิกหารือกันต่อถึงแนวทางที่จะช่วยรองรับความต้องการอันล้นหลามจากเหล่าเยาวชนไทยผู้กำลังประสบปัญหา กระทั่งได้คำตอบว่า “เรามาทำเว็บไซต์เปรียบเทียบประมวลรายวิชาการดีกว่า”
และด้วยเหตุนี้ eduvice.app จึงถือกำเนิด
“พวกเราอยากเสิร์ฟสิ่งที่ดูเหมือนกึ่งสําเร็จรูปให้เด็กได้รู้ล่วงหน้าว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยจะเป็นอย่างไร เรียนอะไร เพื่ออะไร เข้าสองที่ต่างกันอย่างไร มีโอกาสได้รับทุนการศึกษามากน้อยแค่ไหน เรียนจบแล้วทำอะไรต่อ รวมถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ นี่คือคำถามพื้นฐานที่ Eduvice ต้องตอบได้ จึงเป็นที่มาที่ไปของการพยายามรวมข้อมูลจากทุกมหาวิทยาลัย
“ข้อมูลควรจะวิ่งไปหาน้อง ๆ” การเข้าถึงข้อมูลทางการศึกษาไม่ควรเป็นเรื่องยาก “มันควรส่งตรงถึงหน้าบ้าน ควรจะมีบริษัทส่งด่วนในวงการการศึกษาไทย แค่รู้สึกแบบนั้น และสงสัยว่าทำไมยังไม่มี เราเลยอยากทำให้เกิดขึ้น”
ลงมือทำ
ในขณะที่เพื่อนสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง Eduvice กำลังพัฒนาเว็บไซต์กันอยู่นั้น ณัฐที่เป็นฝ่ายดูแลด้านธุรกิจก็ไม่รอช้า เริ่มออกไปหาลูกค้าทันที “เพราะคิดว่าก่อนจะให้เพื่อนเทียบเคียงรายวิชาของคณะต่าง ๆ ด้วยเอไอ เราสามารถไปเทียบเคียงให้น้องดูด้วยตัวเองได้ แล้วก็ได้ first dollar (เงินก้อนแรกที่ธุรกิจได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการให้ลูกค้า) จากลูกค้าคนแรก แล้วก็ได้ข้อมูลเชิงลึกจากทางผู้ปกครอง ทำให้ต่อมา เราจึงมีทั้งลูกค้า แนวคิด ต้นแบบ พร้อมนำเสนอให้กับ TEDFund (กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม) โดยมี KX (Knowledge Xchange) ของ มจธ. เป็น TED Fellow (หน่วยงานพันธมิตรของกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม) ทำหน้าที่เหมือนพี่เลี้ยง ผู้จัดการ ช่วยตรวจสอบเอกสาร ให้คำแนะนำ"
แล้วพอได้ทุนมา สมาชิกก็รีบจัดการพัฒนาโครงการให้สมบูรณ์
แต่ว่า...
Categories
Hashtags