สนทนากับผู้นำคณะนวัตกรที่เชื่อว่า เพียงคิดค้นเทคโนโลยีบนหน้ากระดาษยังไม่พอ แต่ต้องใช้งานได้บนสนามจริง PART3
Published: 3 November 2025
18 views




จากบทสนทนาตอนที่แล้ว เราได้พูดคุยกับ อาจารย์บอย วุฒิชัย วิศาลคุณา ถึงคำถามสำคัญว่า เมื่อวันหนึ่ง หากเทคโนโลยีหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ก้าวข้ามขีดจำกัดจนสามารถคิดและทำได้เหนือมนุษย์ ถึงจุดนั้น อนาคตของมนุษยชาติจะเป็นเช่นไร คำตอบของอาจารย์ไม่ได้ชี้นำให้เกิดความหวาดกลัว แต่เป็นดั่งคำเตือนเพื่อให้เราต่างตระหนักรู้เท่าทัน โดยมีจุดหมายคือการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างเข้าใจ

ในบทสัมภาษณ์นี้ เราจะมาสำรวจอีกด้านของเรื่องราวเดียวกัน ด้านที่อบอุ่น อ่อนโยน และเต็มเปี่ยมด้วยพลังอันมุ่งมั่นของนวัตกร ที่ไม่ได้มองวิทยาการหุ่นยนต์ว่าเป็นศาสตร์สำหรับสร้างจักรกลล้ำสมัยห่างไกลสังคม แต่คือเครื่องมือทรงพลัง ที่จะสร้างสรรค์อารยธรรมมนุษย์ให้ดีงาม

นี่คือเรื่องราวของชายผู้เชื่อว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะมีคุณค่าอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อเทคโนโลยีนั้น ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้

ตั้งแต่ในโรงงานอุตสาหกรรม ไปจนถึงห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล

 

วิทยาการหุ่นยนต์กับการทำประโยชน์เพื่อชาติ: ด้านอุตสาหกรรม

อาจารย์บอยกล่าวว่า สำหรับตน การที่ฟีโบ้ดำเนินโครงการสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมมีความแข็งแกร่งทางเทคโนโลยี ถือเป็นการช่วยเหลือสังคมด้านหนึ่ง เพราะเมื่ออุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างยั่งยืน ย่อมส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของผู้คนโดยรวม

ตัวอย่างเช่นกรณีการร่วมงานกับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) “มีโครงการหนึ่งที่บริษัทซื้อเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนราคา 60 ล้านบาทมา ซึ่งใช้งานไปสักระยะ ข้างในจะเกิดคราบน้ำมันดิบ และเมื่อสะสมนานเข้า จะเกิดการอุดตัน ทำให้การแลกเปลี่ยนความร้อนด้อยประสิทธิภาพลงถึง 45 %”

ทั้งนี้ “ทางบริษัทไม่สามารถขจัดคราบอุดตันได้ แม้จะใช้แรงงานคนมากแต่ล้างอย่างไรก็ไม่สะอาดเหมือนใหม่ ทำได้ดีที่สุดแค่ประมาณ 70%” กล่าวคือ “ใส่พลังงานเข้าไป 100 แต่ได้กลับมา 70” อาจารย์บอยจึงสร้างหุ่นยนต์ TOPKlenBot ที่ติดตั้งเลเซอร์สแกนสามมิติ สำหรับระบุตำแหน่งรูระบายของเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน ที่มีอยู่จำนวน 23,000 รู ซึ่งแต่ละรูมีขนาดเพียง 0.3 มิลิเมตร เสริมด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลจากปัญญาประดิษฐ์ และหัวฉีดน้ำแรงดันสูงจำนวน 700 แถว

“ปรากฏว่า TOPKlenBot ทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนกลับมาได้เกิน 90% เรียกว่าเกือบเทียบเท่าของใหม่”

จากผลลัพธ์ดังกล่าว สามารถช่วยบริษัทลดต้นทุนไปถึงประมาณสองล้านบาทต่อเครื่องต่อปี รวมตัวเลขแล้วเกือบสองร้อยล้านบาท และเหนือกว่าความคุ้มค่าทางการเงิน TOPKlenBot ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้แรงงานมนุษย์อีกด้วย



 

วิทยาการหุ่นยนต์กับการทำประโยชน์เพื่อชาติ: ด้านการแพทย์

นอกจากตัวอย่างข้างต้น ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต ฟีโบ้มักไม่นิ่งนอนใจ และริเริ่มโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคมอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น สถานการณ์โควิด19 ที่ต้องปิดประเทศ อาจารย์บอยกล่าวว่า “ช่วงนั้นฟีโบ้ไม่ได้ปิด ผมมาทำงานทุกวัน เพื่อจะสร้างชุดระบบหุ่นยนต์ขึ้นมา” ซึ่ง รศ.ดร. ชิต เหล่าวัฒนา ได้กรุณาตั้งชื่อระบบหุ่นยนต์ชุดนี้ว่า FIBO Against COVID-19 Robots หรือ FACO Robots

เดิมทีฟีโบ้วางแผนจะผลิต FACO Robots เพื่อส่งมอบสู่โรงพยาบาล 3 แห่ง แต่ด้วยคุณภาพของผลการดำเนินงานที่น่าประทับใจ ทำให้มีผู้สนับสนุนทุนเพิ่มเติม จนสามารถสร้างชุดระบบหุ่นยนต์เพื่อส่งมอบสู่โรงพยาบาลได้ถึง 10 แห่ง สำหรับป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ต้องสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง ด้วยการใช้หุ่นยนต์เข้าไปเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างกัน

"นี่คือโครงการที่ฟีโบ้ได้ช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ เพราะขณะนั้นคาดว่าการระบาดจะรุนแรง และหากคุณหมอหรือพยาบาลป่วย จำนวนเจ้าหน้าที่จะไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน” อย่างไรก็ตาม อาจารย์บอยกล่าวว่า แม้ประสิทธิภาพการทำงานของหุ่นยนต์จะตอบโจทย์สถานการณ์ได้ดี แต่เมื่อคำนึงในมุมของผู้ป่วย กอปรกับความสนใจด้านการออกแบบลักษณะภายนอกของหุ่นยนต์ คณะทำงานเห็นตรงกันว่า ไม่ควรนำหุ่นยนต์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนกล่องโลหะไปให้บริการ ต่อมาจึงพัฒนาหุ่นยนต์ให้ “ดูน่ารักและทำให้ผู้ป่วยหรือเด็กมีชีวิตชีวาเวลาได้เห็น” ชื่อ SOFA (StOry of FIBO Android) ซึ่งเป็นชื่อที่ รศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ได้กรุณาตั้งให้ และภายหลัง กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระราชทานชื่อให้ใหม่ว่า “มดบริรักษ์”

 

จักรกลที่มีหัวใจ

อาจารย์บอยเล่าถึง มดบริรักษ์ ที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าโครงการว่า “เรารู้แค่ต้องทำเพื่อบุคลากรทางการแพทย์ เรามาทำงานทุกวัน พยายามหาทุน” ซึ่งช่วงแรกคณะทำงานไม่เข้าใจ เพราะองค์กรอื่นได้หยุดงานกันหมด แต่พวกเขาไม่ได้หยุด กระนั้น ด้วยความมุ่งมั่นของอาจารย์บอย “ต่อมาทุกคนจึงเริ่มตระหนักว่านี่คือโครงการใหญ่” อาจารย์บอยย้อนความทรงจำไปยังตอนติดตั้งระบบหุ่นยนต์ที่โรงพยาบาล ในช่วงดังกล่าว สถานการณ์โควิดนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงและน่ากลัวมากสำหรับคนทั่วไป

“ผมกลับมาจากโรงพยาบาล ไม่มีใครอยากให้เข้าตึก”

อาจารย์บอยเปิดใจเล่าถึงเหตุผลที่ยอมอุทิศตนให้กับโครงการว่า “ผมเติบโตมาในยุคสมัยที่การฉีดวัคซีนยังไม่แพร่หลาย คนไทยรุ่นเดียวกันประมาณยี่สิบถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์มีเชื้อไวรัสตับอักเสบในร่างกาย ผมเองมีภาวะเป็นพาหะ หากไม่ดูแลสุขภาพ จะทำให้เสี่ยงเป็นโรคตับแข็ง ซึ่งผมบ้างานมากไปหน่อย (หัวเราะ) จึงพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อสะสมหลายปีเข้า ร่างกายรับไม่ไหว ตอนแรกรักษาด้วยยา แต่ไม่หาย สุดท้ายต้องไปผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะ ซึ่งผมไม่คิดว่าตัวเองจะรอดนะ เพราะการเปลี่ยนอวัยวะสำหรับผมในฐานะมนุษย์คนหนึ่งนับว่าเป็นเรื่องใหม่มาก ผมถามอัตราการรอดจากหมอ เขาบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเสียชีวิตระหว่างผ่าตัด และแม้การผ่าตัดจะผ่านไปด้วยดี ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตหลังจากนั้นเช่นกัน ดังนั้น ก่อนเริ่มการผ่าตัดผมจึงคิดว่า ถ้าเกิดเรามีชีวิตอีกครั้ง ก็นับว่าฟ้ามอบโอกาสเพื่อให้เราทำประโยชน์แก่โลกนี้ แล้วพอตื่นขึ้นมา พอเราได้โอกาสอีกครั้งจริง ๆ  ผมจึงต้องการทำเพื่อสังคมตามที่คิดไว้

"นี่เป็นที่มาว่าเมื่อไรที่ผมได้ทำโครงการเพื่อสังคม ผมจะมีความตั้งใจมาก แต่ไม่เคยต้องการให้คนอื่นมาเสี่ยงด้วย อย่างตอนที่ต้องเจอผู้ป่วยโควิด ผมจะไม่ให้คณะทำงานอยู่ในพื้นที่ มีแค่ผมที่อยู่ได้ เพราะฟ้าให้เราเกิดมาอย่างนี้แล้ว ได้โอกาสนี้แล้ว เหมือนลิขิตว่า คุณต้องทำเพื่อสังคมนะ”

หลังการผ่าตัดผ่านไปด้วยดี อาจารย์บอยยังคงติดต่อกับบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำการรักษา และได้อาสาช่วยเหลือในโครงการพัฒนากล้องแคปซูลตรวจแผลในลำไส้และกระเพาะอาหาร โดยให้เหตุผลว่า “ถ้าเกิดเราช่วยหมอได้ โครงการนี้ก็จะไปช่วยคนอื่นได้” อาจารย์บอยบอกเล่าด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกผมเสนอตัวเข้าไปโดยไม่คิดค่าจ้าง (หัวเราะ) แต่สุดท้ายโครงการมีขนาดใหญ่มาก จึงชักชวนลูกทีมเข้าไปด้วย ซึ่งหมอก็ให้ค่าแรง แต่ผมไม่รับ มอบให้น้องในทีมทั้งหมด”

อาจารย์บอยขยายความถึงโครงการแคปซูลตรวจลำไส้เพิ่มเติมว่า “ปกติถ้ากลืนแคปซูลตรวจลำไส้เข้าไป แพทย์จะต้องใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงในการคัดกรองรูปเพื่อหาว่ามีแผลที่จุดไหนบ้าง แต่ด้วยปัญญาประดิษฐ์ซึ่งทำหน้าที่ช่วยคัดกรองรูปโดยจำแนกบาดแผล ตั้งแต่ประเภทที่ 1 – 5 ซึ่งทีมของผมพัฒนาขึ้นมา จะช่วยลดระยะเวลาการตรวจสอบลงได้เหลือเพียงไม่กี่นาที”

 

              

หากนักศึกษาต้องการทำโครงการพัฒนาหุ่นยนต์เช่นที่อาจารย์บอยได้วางแนวทางไว้ นักศึกษาควรเลือกทำเรื่องใด

"ขึ้นอยู่กับความชอบของนักศึกษา แต่หากมองตามกระแสของยุคสมัย" อาจารย์บอยกล่าวว่า หุ่นยนต์ที่มีปัญญาประดิษฐ์จะตอบโจทย์อนาคตได้ดี นอกจากนี้ อาจารย์ยังแนะนำเรื่องการประสานเทคโนโลยี ทั้งระบบอัจฉริยะในภาคการเกษตร และระบบอินเทอร์เน็ตในทุกสรรพสิ่ง (IoT) ที่อยู่ในภาคอุตสาหกรรม เข้ากับปัญญาประดิษฐ์ เพื่อให้สามารถปรับแต่งกระบวนการการทำงานให้ออกมาดีที่สุดอย่างที่ควรจะเป็น

ตัวอย่างเช่น FIBO Technovation นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้าไปสร้างระบบการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) “จากแต่ก่อนเราจะรู้ว่ามอเตอร์เสียก็ต่อเมื่อเครื่องหยุดทำงาน ซึ่งทำให้สายการผลิตหยุดชะงัก แต่ด้วยการนำปัญญาประดิษฐ์เข้าไปตรวจจับ หากมอเตอร์เริ่มมีอาการสั่นในลักษณะที่ผิดปกติ เราจะสามารถรู้และบำรุงรักษาได้ล่วงหน้าหลายวันก่อนที่เครื่องจะเสีย”

ส่วนด้านพลังงาน ปัญญาประดิษฐ์ก็สามารถเข้ามาช่วยได้เช่นกัน ด้วยการคำนวณข้อมูลให้เกิดการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมกับรูปแบบการผลิต เช่นการผลิตที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมาก กำลังของเครื่องจักรก็จะปรับลดลง เพื่อไม่ให้เกิดการเสียเปล่าของต้นทุน

แต่ทั้งนี้ อาจารย์บอยได้ย้ำอีกครั้งว่า การทำโครงการต่าง ๆ ควรขึ้นอยู่กับความชอบความสนใจของนักศึกษา


สุดท้าย

การแบ่งปันความรู้และประสบการณ์มีความสำคัญต่อการพัฒนาคนรุ่นใหม่อย่างไร

อาจารย์บอยกล่าวว่า ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของบุคคลหนึ่ง สามารถช่วยเป็นทางลัดให้ผู้อื่นได้ ช่วยย่นระยะเวลาในการลองผิดลองถูกด้วยตัวเองได้อย่างมาก

“เวลาฟังคนเก่ง ๆ พูด ผมได้อะไรมาหลายอย่าง ไม่มีเสีย แม้จะใช้กับเราไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่นำไปประยุกต์ได้ ต่อให้เป็นเรื่องของความล้มเหลวก็ยังได้ความรู้จากเขาว่าเขาสู้อย่างไร ลุกขึ้นมาอย่างไร เดินต่ออย่างไร ใช้วิธีไหนจึงกลับมาประสบความสำเร็จหรือดีขึ้นจนอยู่มาได้ถึงปัจจุบัน เราจะนำมาศึกษาและใช้เป็นแนวทางในวันที่เจอสถานการณ์ใกล้เคียงกัน ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณผู้คนเหล่านี้ที่ช่วยแบ่งปันประสบการณ์

" เมื่อคิดถึงเขา อาจจะทำให้เราสามารถลุกขึ้นและก้าวต่อไปได้”



เมื่อคิดถึงอาจารย์บอย วุฒิชัย วิศาลคุณา ผมคิดถึงภาพของนวัตกรผู้ไม่เพียงสร้างสรรค์เทคโนโลยีให้ก้าวหน้า แต่ยังใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คนและสังคมไทยให้ยั่งยืน ผ่านความมุ่งมั่นในการสร้างสิ่งที่จับต้องได้จริง ผสานกับเจตนารมณ์แห่งการคืนกลับสู่สังคม และนี่คือหลักฐานยืนยันว่า สำหรับอาจารย์บอย วิทยาการหุ่นยนต์อันแท้จริงไม่ใช่เพียงการสร้างเครื่องจักรอันชาญฉลาดทรงพลังเพื่อแข่งขันกับใคร หากคือการสร้างอนาคตที่มนุษย์และเทคโนโลยีจะเติบโตไปด้วยกัน เห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน โดยไม่หลงลืมว่า หัวใจสำคัญของนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ คือ หัวใจของความเป็นมนุษย์




ติดตามความเคลื่อนไหวของ FIBO Technovation ได้ที่ https://www.facebook.com/fibo.technovation



อ้างอิง

  1. Engineering Today. (ม.ป.ป.). FIBO รวบรวมหุ่นยนต์ FACO สู้ COVID-19. สืบค้นเมื่อ 30 ตุลาคม 2568, จาก https://www.engineeringtoday.net/%E0%B8%9F%E0%B8%B5%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B9%89-%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-faco-%E0%B8%AA%E0%B9%89-covid-19/
  2. กองส่งเสริมและประสานเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กปว.). (ม.ป.ป.). ข่าวประชาสัมพันธ์: กปว.. สืบค้นเมื่อ 30 ตุลาคม 2568 จาก http://www.ttc.ops.go.th/?p=18540
Comments
To join the comment, please sign in.
Sign in
Don’t have an account? Register
Loading comments...