ความเสี่ยงในแต่ละระดับ
การจำแนกความเสี่ยงจะช่วยให้เราสามารถกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบของภาคส่วนแต่ละระดับได้อย่างชัดเจน พร้อมออกแบบกลยุทธ์การจัดการที่เหมาะสมกับบริบท เช่น การกำหนดนโยบายระหว่างประเทศในระดับโลก การวางระบบบริหารความเสี่ยงในระดับองค์กร หรือการวางแผนชีวิตและการตัดสินใจในระดับบุคคล โดยความเสี่ยงทั้งสามระดับที่กล่าวไป ยังสามารถแยกประเภทออกเป็น ความเสี่ยงระยะใกล้ และ ความเสี่ยงระยะไกล ได้ดังนี้
1. ความเสี่ยงระดับโลก (Global Risks)
อาจารย์หน่งชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงระดับโลกในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อน โดยเฉพาะจากปัจจัยด้านเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง
ระยะใกล้
• การใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างไม่ถูกต้องหรือขาดการควบคุม
• ปัญหาข้อมูลคุณภาพต่ำที่อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
• ความเสี่ยงทางไซเบอร์จากการโจมตีระบบและการรั่วไหลของข้อมูล
ระยะไกล
• ความเสี่ยงด้านความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
• ความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
2. ความเสี่ยงในระดับองค์กร (Organizational Risks)
องค์กรการศึกษาเช่นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จำเป็นต้องมีโครงสร้างการบริหารความเสี่ยงที่เป็นระบบ เนื่องจากเผชิญกับความเสี่ยงที่หลากหลาย ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก
ระยะใกล้
• ความเสี่ยงทางไซเบอร์จากการโจมตีระบบและการรั่วไหลของข้อมูล
ระยะไกล
• ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินของมหาวิทยาลัยที่ผูกโยงกับเสถียรภาพทางการเงินของรัฐ
• ความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์จากการปรับตัวสู่ Digital University
• ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
3. ความเสี่ยงในระดับปัจเจกบุคคล (Individual Risks)
อาจารย์หน่งกล่าวว่าการบริหารความเสี่ยงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับโลกหรือภาคธุรกิจ แต่เป็นเรื่องใกล้ตัวคนทั่วไป ตัวอย่างเช่น การเลือกเส้นทางหรือวิธีการเดินทางเพื่อไปยังจุดหมายให้ทันเวลานัด นับว่าเป็นการใช้ทักษะการบริหารความเสี่ยงรูปแบบหนึ่ง และเราต่างมีศักยภาพในการบริหารความเสี่ยงของตนเอง
ระยะใกล้
• ความเสี่ยงทางการเงิน เช่น การใช้จ่ายเกินตัว หรือการพึ่งพารายได้ทางเดียว
• ความเสี่ยงจากปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมชีวิต
ระยะไกล
• ความเสี่ยงจากการมีอายุยืนแต่เงินไม่พอใช้ (Longevity Risk) ซึ่งพบมากในสังคมไทย
เมื่อพิจารณาความเสี่ยงในแต่ละระดับจะเห็นความเชื่อมโยง
อาจารย์หน่งกล่าวว่า ทุกภาคส่วนล้วนบูรณาการกัน ความเสี่ยงระดับโลกย่อมส่งผลกระทบถึงองค์กรและต่อเนื่องมาถึงระดับปัจเจก ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงในระดับปัจเจกก็อาจส่งผลเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปสู่องค์กรและระดับโลกได้
Minute Expert Tip:
ทักษะที่จำเป็นสำหรับการบริหารความเสี่ยงในชีวิตประจำวัน
1. Critical Thinking เราต้องฝึกสงสัย ตั้งคำถามต่อข้อมูลที่ได้รับ เนื่องจากเบื้องหลังแหล่งข้อมูลอาจมีวาระซ่อนเร้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ปราศจากอคติ
2. Systematic Thinking คือการมองอย่างเชื่อมโยง โดยพิจารณาองค์ประกอบและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น แทนที่จะมองแยกส่วน การคิดแบบนี้ช่วยให้เข้าใจปัญหาที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น
3. Communication Skill อาจารย์หน่งกล่าวว่า ทักษะการสื่อสารนอกจากจะจำเป็นต่อชีวิตประจำวันของทุกคนแล้ว ยังเป็นทักษะสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักบริหารความเสี่ยงมืออาชีพ เพราะงานด้านการบริหารความเสี่ยงต้องสื่อสารและทำงานร่วมกับผู้คนหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะกับผู้นำองค์กรที่อาจยังไม่เข้าใจหรือยังไม่มีวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง อาจารย์หน่งขยายความว่า เนื่องจากตามธรรมชาติแล้ว บางคนอาจรู้สึกไม่สบายใจเมื่อถูกตั้งคำถามหรือทักท้วงว่ารูปแบบการใช้ชีวิตหรือวิธีการบริหารของตนอาจกำลังก่อให้เกิดความเสี่ยง นักบริหารความเสี่ยงจึงจำเป็นต้องใช้ศิลปะเข้าไปพูดคุยให้ผู้บริหารเห็นว่า การบริหารความเสี่ยงไม่ใช่การจับผิด แต่คือการช่วยให้องค์กรได้รับประโยชน์และลดโอกาสเกิดเหตุไม่พึงประสงค์
ปรับให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลง
ในอดีต หลายองค์กรจะปรับเปลี่ยนชุดความเสี่ยงทุกสองปี แต่ปัจจุบันที่บริบทแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีจึงปรับชุดความเสี่ยงทุกปี
“วิชาความรู้บางอย่างอาจมีความหมายในวันนี้ แต่วันข้างหน้าอาจล้าสมัยไปแล้ว ดังนั้นมหาวิทยาลัยของเราจึงต้องจับตาดูความเสี่ยงทุกไตรมาส”
อาจารย์หน่งอธิบายว่า แนวทางการบริหารความเสี่ยงของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเป็นแบบ “ส่วนกลางวางกรอบ แต่กระจายอำนาจลงสู่หน่วยงาน” กล่าวคือ ในระดับมหาวิทยาลัยมีคณะกรรมการและหน่วยงานกลางด้านบริหารความเสี่ยงทำหน้าที่กำหนดทิศทางและวางแนวปฏิบัติงานภาพรวม จากนั้นจึงกระจายความรับผิดชอบลงไปยังคณะและหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานเป็นผู้ระบุและติดตามความเสี่ยงของตนเอง
แนวทางนี้ผสานทั้งมิติ Top–Down ที่ระดับมหาวิทยาลัยกำหนดทิศทางสำคัญ กับมิติ Bottom–Up ที่หน่วยงานย่อยส่งข้อมูลและประเมินความเสี่ยงของตนเอง ก่อนจะเก็บรวบรวมเป็นภาพรวมความเสี่ยงของทั้งมหาวิทยาลัย และมีการทบทวนปรับปรุงชุดความเสี่ยงเป็นระยะให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
การเล่าเรื่องด้วยข้อมูล
การระบุชุดความเสี่ยงอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เนื่องจากกระบวนการบริหารความเสี่ยงจะเกิดขึ้นได้จริง องค์กรจำเป็นต้องเห็นความสำคัญของการรับมือกับชุดความเสี่ยงที่ถูกระบุ ด้วยเหตุนี้ ศาสตร์ของการเล่าเรื่องด้วยข้อมูล (Storytelling with Data) จึงเข้ามาเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้การสื่อสารทรงประสิทธิภาพ
จารย์หน่งอธิบายว่า มนุษย์มักรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อได้รับข้อมูลปริมาณมาก โดยเฉพาะเมื่อข้อมูลเหล่านั้นถูกนำเสนอในรูปแบบตัวเลขหรือกราฟที่แห้งแล้ง ขาดบริบทและความเชื่อมโยงทางอารมณ์ แต่เมื่อข้อมูลสอดแทรกอยู่ในเรื่องราวที่ผู้ฟังมีอารมณ์ร่วม ผู้ฟังจะสามารถเข้าใจและจดจำได้ดีกว่า เพราะอารมณ์มีอิทธิพลโดยตรงต่อกระบวนการจดจำของสมอง การเล่าเรื่องด้วยข้อมูลจึงเป็นการสร้างสมดุลระหว่างสมองซีกซ้าย (เหตุผล) และสมองซีกขวา (อารมณ์) ทำให้ข้อมูลหรือสารที่ส่งไปนั้นมีชีวิต มีพลัง สามารถขับเคลื่อนให้เกิดการจดจำและการตัดสินใจได้อย่างแท้จริง
ความเสี่ยงสำคัญระดับโลกที่ต้องสื่อสารให้เข้าใจร่วมกัน
เมื่อเราสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพผ่านการเล่าเรื่องด้วยข้อมูล คำถามต่อมาคือ ความเสี่ยงใดที่ควรบอกเล่าเพื่อให้ผู้คนตระหนักถึงร่วมกัน
ก่อนจากกัน อาจารย์หน่งได้กรุณาทิ้งท้ายว่า เราไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความท้าทายสำคัญด้าน การจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นความเสี่ยงในระยะยาวที่เราต้องเตรียมป้องกันไว้ตั้งแต่วันนี้ โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
และเพื่อให้สังคมบรรลุเป้าหมายดังกล่าว อาจารย์หน่งจึงได้เขียนหนังสือชื่อ Climate Risk Management ขึ้น โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารทางวิชาการระดับแนวหน้าของทั้งไทยและต่างประเทศ ผสานกับประสบการณ์ส่วนตัวในด้านการวิจัย รวมทั้งประสบการณ์การร่วมงานกับบริษัทและองค์กรชั้นนำหลายภาคส่วน เพื่อเสนอแนวคิดแนวทางปฏิบัติอย่างละเอียด สำหรับให้ผู้นำองค์กรและนักบริหารความเสี่ยงได้ประยุกต์ใช้สร้างยุทธศาสตร์องค์กรที่มีพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งในปัจจุบัน และในอนาคต
กล่าวได้ว่า นี่คือคู่มือสำคัญสำหรับผู้บริหารยุคใหม่ ที่ต้องการก้าวข้ามความรู้ทางทฤษฎีไปสู่การลงมือปฏิบัติ เพื่อนำพา "นาวาที่ชื่อว่าประเทศไทย" และโลกของเราแล่นสู่เป้าหมาย Net Zero Emissions อย่างยั่งยืน
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงได้ที่
youtube: https://www.youtube.com/@riskandopportunity8593
facebook: https://www.facebook.com/profile.php?id=100063733383434
อ้างอิง
- บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน). (2566). ESG คืออะไร ทำไม ESG ถึงมีความสำคัญในปัจจุบัน. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.cloverpower.co.th/th/updates/blog/224/
- สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์. (2565).“Carbon neutrality” กับ “net zero emissions” ต่างกันอย่างไร? และมีความสำคัญอย่างไร?. สืบค้นเมื่อ 12 พฤศจิกายน 2568 จาก https://www.pier.or.th/blog/2022/0301/
Categories
Hashtags
