Vitamin E (tocopherols and tocotrienols)
Published: 12 September 2025
2 views

น้ำมันรำข้าว (Rice Bran Oil: RBO) เป็นแหล่งของสารประกอบที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีฤทธิ์ทางชีวภาพหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินอี (ทั้งในรูปโทโคฟีรอลและโทโคไตรอีนอล) และแกมมา-โอไรซานอล ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเฉพาะที่พบได้เฉพาะในน้ำมันรำข้าว ปริมาณของแกมมา-โอไรซานอลยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์สารเหล่านี้ด้วยวิธีโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง (HPLC) แบบดั้งเดิมยังคงมีข้อจำกัด ทั้งในด้านความยุ่งยากของกระบวนการเตรียมตัวอย่างที่ต้องผ่านการสปอนนิฟิเคชัน (saponification) และความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงขององค์ประกอบในระหว่างการวิเคราะห์


วิตามินอีเป็นชื่อสามัญของสารประกอบ 8 ชนิด

วิตามินอีเป็นชื่อสามัญของสารประกอบแปดชนิด ได้แก่ โทโคฟีรอลสี่ชนิด (α, β, γ และ δ) และโทโคไตรอีนอล สี่ชนิด ทั้งโทโคฟีรอลและโทโคไตรอีนอลมีหมู่ที่เรียกว่าวงแหวนโครแมนและโซ่ข้างคาร์บอนยาว โซ่ข้างของโทโคฟีรอลมีพันธะเดี่ยวทั้งหมด ในขณะที่โซ่ข้างของโทโคไตรอีนอลมีพันธะคู่สามพันธะ รูปแบบ α, β, γ และ δ แตกต่างกันตามตำแหน่งและจำนวนหมู่เมทิล (R1, R2: CH3-) ในวงแหวนโครแมน

รูปจาก : https://phytochem--products-co-jp.translate.goog/post_en/about-vitamin-e-tocopherol-and-tocotrienol/?_x_tr_sl=en&_x_tr_tl=th&_x_tr_hl=th&_x_tr_pto=tc


วิตามินอี สำคัญอย่างไร ?

วิตามินอี หรือ โทโคเฟอรอล (Tocopherol) เป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน จัดเป็นหนึ่งในวิตามินที่สำคัญที่ร่างกายจำเป็นต้องได้รับ โดยวิตามินอีจะช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดและการอุดตันของเส้นเลือด ลดการเกิดกระบวนการอักเสบในร่างกายที่อาจนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ และยังมีฤทธิ์อื่นๆ อีกมากมาย มีหน้าที่เบื้องต้นเสมือนฟองน้ำที่คอยดูดซับอนุมูลอิสระซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อถูกทำลาย หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “สารต้านอนุมูลอิสระ”

เราจะรับ วิตามินอี ได้จากที่ใดได้บ้าง ?

อาหารที่สำคัญซึ่งมีวิตามินอีมาก ได้แก่ พืชผัก ผลไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่จะเจริญเป็นต้นใหม่ (germ) เมล็ดพืช หรือ ธัญพืช แต่ก็พบว่าออกซิเจนและความร้อนสามารถทำลายวิตามินอีได้ รวมไปถึงการแช่แข็งเป็นเวลานาน ก็ทำให้เกิดการสูญเสียวิตามินอีได้เช่นกัน ดังนั้นการบริโภคผักหรือผลไม้สดจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินอีที่ร่างกายได้รับได้ นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำนมมารดา โดยเฉพาะน้ำนมมารดาหลังคลอด (colostrum) ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่ให้วิตามินอีในปริมาณที่สูงมากเช่นกัน

จะทราบได้อย่างไร เมื่อร่างกายขาด วิตามินอี ?

โดยปกติจะไม่พบการขาดวิตามินอีจากการขาดสารอาหาร แต่มักพบจากความผิดปกติในการดูดซึมไขมัน เช่น การทำงานของตับ ตับอ่อน และลำไส้ผิดปกติ หรือมีโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคที่มีอาการผิดปกติของระบบประสาท (เดินเซ) ร่วมกับการขาดวิตามินอี (ataxia with vitamin E deficiency) นอกจากนี้ยังพบการขาดวิตามินอีได้ในทารกคลอดก่อนกำหนดหรือน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ผู้ที่มีพังผืดจับในถุงน้ำดี (cystic fibrosis) รวมทั้งในผู้ที่ขาดเอนไซม์ กลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (G-6-PD) ทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตกได้ ซึ่งการขาดวิตามินอี ต้องใช้ระยะเวลานานจึงจะเริ่มมีสัญญาณการเกิดความเสียหายของระบบประสาทปรากฏขึ้น เช่น สูญเสียการรับสัมผัสและการตอบสนองต่อสิ่งเร้า สูญเสียความรู้สึกทางกาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีปัญหาเรื่องการกลอกตาและทรงตัวได้ยาก เป็นต้น ดังนั้นในผู้ที่ขาดวิตามินอีจึงควรได้รับการแก้ไข เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดความเสียหายดังกล่าว

จะเป็นอย่างไร เมื่อร่างกายได้รับ วิตามินอี มากเกินไป?

โดยปกติร่างกายจะรับปริมาณวิตามินอีขนาดสูงได้ดี แต่อาจพบอาการท้องอืด อาเจียน ท้องร่วง ท้องเสีย ปวดท้อง ปวดหัว ตาพร่า อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ได้บ้างในบางราย รวมถึงอาจพบอาการเลือดไหลไม่หยุดในผู้ที่ขาดวิตามินเค และในผู้ที่ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันได้ แต่โดยส่วนมากแล้ว ถ้าได้รับในขนาดไม่เกินวันละ 800 IU จะมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคที่ไม่มีความผิดปกติใดๆ ส่วนวิตามินอีในรูปที่ปรากฏอยู่ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทาผิว อาจพบอาการแพ้ทางผิวหนังจากการสัมผัส (contact dermatitis) ได้ในบางราย

ประโยชน์ของ วิตามินอี ที่นำมาใช้ในปัจจุบันมีอะไรบ้าง ?

อย่างแรก คือ ยา นอกเหนือจากบทบาทการเป็นวิตามินผู้ปกป้องร่างกายแล้ว วิตามินอียังมีบทบาทในการเป็นยารักษาโรค โดยทางด้านการแพทย์ จะใช้รักษาโรคโลหิตจางในทารกแรกคลอดเนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตก ใช้รักษาโรคขาดสารอาหาร ใช้รักษาอาการปวดกล้ามเนื้อขาเวลาเดิน และใช้สำหรับต้านทานต่อโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ อีกมากมาย

อย่างที่สอง คือ เครื่องสำอาง วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีการนำมาใช้มากชนิดหนึ่งในเครื่องสำอางสำหรับผิว โดยใช้เป็นสารกันหืน ใช้เป็นสารให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ใช้ผสมในครีมกันแดด เพื่อช่วยเร่งการทำงานของเอนไซม์ที่ช่วยลดความเกรียมแดดของผิวหนัง และช่วยสมานผิวหนัง ซึ่งฤทธิ์บางอย่างนี้ อาจจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม

อย่างที่สาม คือ อาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีการใช้วิตามินอีเป็นสารกันหืนในอาหาร นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิตามินอีเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยจะใช้เพื่อบำรุงร่างกาย ป้องกันการเกิดโรค และลดความรุนแรงของภาวะต่างๆ โดยภาวะบางอย่างยังคงต้องรอผลการศึกษาเพิ่มเติม

วิตามินอีเป็นวิตามินที่มีบทบาทสำคัญในการกวาดล้างสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย ซึ่งทำให้กลุ่มนักวิจัยเกิดความสนใจและเกิดการศึกษาวิจัยทางด้านคลินิก และการนำไปใช้ประโยชน์ในมนุษย์ ในด้านความสวยความงามก็จัดได้ว่าเป็นวิตามินที่ถูกนำมาใช้มากตัวหนึ่งในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โดยที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ไม่ยากนัก อย่างไรก็ตามการรับประทานวิตามินอีควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อประโยชน์และความปลอดภัยต่อตัวผู้บริโภคเอง

บทความงานวิจัยเรื่อง “Simultaneous Determination of Vitamin E and γ-Oryzanol in Rice Bran Oil via HPSEC-PDA without Sample Pretreatment” ของ รศ.ดร. กรณ์กนก อายุสุข, ดร. พิราพร สมบัติสุวรรณ, ดร. ศลิษา ชุ่มสันเทียะ, อัครเดช นครเสด็จ และอภิวัฒน์ จิรัฐติสกุล กลุ่มสาขาการวิจัยเชิงกลยุทธ์ : เศรษฐกิจฐานชีวภาพ (รูปแบบการวิจัยเชิงกลยุทธ์) สถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ (สรบ.)  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โดยงานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินวิธีการ HPSEC-ELSD-PDA สำหรับการวิเคราะห์หาปริมาณวิตามินอีและแกมมา-โอไรซานอลในน้ำมันรำข้าว โดยไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอย่างล่วงหน้า เพื่อให้ได้วิธีการที่มีความแม่นยำ ถูกต้อง และสะดวกต่อการประยุกต์ใช้ในงานวิจัยและอุตสาหกรรม

ผลลัพธ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า HPSEC-ELSD-PDA เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ทรงประสิทธิภาพและเหมาะสมสำหรับการตรวจวัดสารประกอบออกฤทธิ์ทางชีวภาพในน้ำมันรำข้าว สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในงานวิจัยด้านเคมีอาหาร การประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาน้ำมันรำข้าวในเชิงอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ต่อไป


เอกสารอ้างอิง

Chumsantea, S., Jiruttisakul, A., Nakornsadet, A., Sombutsuwan, P., & Aryusuk, K. (2023). Simultaneous Determination of Vitamin E and γ-Oryzanol in Rice Bran Oil via HPSEC-PDA without Sample Pretreatment. Japan Oil Chemists’ Society (J. Oleo Sci), 72(7), 655-665. https://doi.org/10.5650/jos.ess22257

Giffmart Blog. (11 มิถุนายน 2567). โทโคไตรอีนอล (Tocotrienols) คืออะไร. https://www.giffmart.com/blog/blog-post.php?id=23&srsltid=AfmBOopPFnukrRn6zDFvS0gXfxkrtfj-xwX03Q8dkSFx45qV3l4ydyvl

HDmall Team. (4 กันยายน 2567). วิตามินอี คืออะไร? ข้อมูล วิธีใช้ ผลข้างเคียง ข้อควรระวัง. https://hdmall.co.th/blog/c/supplement-vitamin-e/

Rattinan Clinic. (ม.ป.ป.). วิตามินอีช่วยอะไร? ประโยชน์ และข้อควรระวังที่ควรรู้. https://www.rattinan.com/vitamin-e/

นศภ. ทศพล จันทร์ดี. (18 ธันวาคม 2557).

วิตามินอี (Vitamin E) ดี โทษ อย่างไร? บทความนี้มีคำตอบ!. หน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. https://pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=33


Comments
To join the comment, please sign in.
Sign in
Don’t have an account? Register
Loading comments...