Photo by Debby Hudson on Unsplash
การเริ่มต้นทำวิจัยสำหรับใครหลายคนอาจเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยคำถามและความไม่แน่ใจ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาที่ต้องทำวิทยานิพนธ์ นักวิจัยมือใหม่ หรือแม้แต่คนที่สนใจอยากสร้างองค์ความรู้ใหม่ การทำวิจัยดูเหมือนจะซับซ้อน เต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะ ขั้นตอนมากมาย และเอกสารนับไม่ถ้วน แต่ความจริงแล้ว หากเราเข้าใจ “ลำดับ” และ “ระบบ” ของการวิจัยอย่างถูกต้อง การทำวิจัยก็ไม่ต่างจากการเดินทางที่มีแผนที่นำทาง
บทความนี้จึงจะกล่าวถึงการวางแผนเส้นทางวิจัยให้ชัดเจน ตั้งแต่ก้าวแรกของการตั้งคำถามวิจัย การหาข้อมูล การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการเขียนผลการวิจัยในแบบที่เข้าใจง่ายและใช้ได้จริง ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้น หรืออยู่ในระหว่างทางของงานวิจัย บทความนี้อาจเป็นตัวช่วยที่ทำให้คุณมั่นใจมากขึ้นในทุกขั้นตอน
ซึ่งในบทความนี้เราได้แบ่งกระบวนการวิจัยออกเป็น 9 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกำหนดปัญหาวิจัย (Identifying the Research Problem)
การศึกษาวิจัยเป็นกระบวนการอย่างหนึ่งที่จะค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ จุดเริ่มต้นของงานวิจัยที่ดี คือ การตั้งปัญหาวิจัยอย่างถูกต้อง ปัญหาวิจัย (Research Problem) คือสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาเพื่อหาคำตอบ ซึ่งควรเป็นประเด็นที่
- มีความสำคัญต่อวงวิชาการหรือสังคม
- ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน หรือมีข้อโต้แย้ง
- อยู่ในขอบเขตที่สามารถวิจัยได้ (ทำได้จริงในเวลาที่มี)
- ตรงกับความสนใจและความถนัดของผู้วิจัย
2. การทบทวนวรรณกรรม (Review of Literature)
Photo by Pieterjan Montens on Unsplash
การทบทวนวรรณกรรมช่วยให้ผู้วิจัยเข้าใจสถานะปัจจุบันของความรู้ในหัวข้อที่สนใจ และสามารถระบุช่องว่างหรือประเด็นที่ยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอ
ซึ่งแนวทางการทบทวนวรรณกรรม มีดังนี้
- ค้นหาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ฐานข้อมูลวิชาการ หนังสือ บทความวิจัย
- พิจารณาจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของผู้เขียนในเรื่องนั้น ๆ
- วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูล เปรียบเทียบและสรุปประเด็นสำคัญจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
- ระบุช่องว่างของความรู้ หาประเด็นที่ยังไม่มีการศึกษา หรือมีข้อขัดแย้งในผลการวิจัยก่อนหน้า
3. การกำหนดวัตถุประสงค์และคำถามวิจัย (Setting Objectives and Research Questions)
Photo by Markus Winkler on Unsplash
หลังจากทบทวนวรรณกรรมแล้ว ผู้วิจัยควรกำหนดวัตถุประสงค์และคำถามวิจัยที่ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัย
วัตถุประสงค์วิจัย: ระบุสิ่งที่ผู้วิจัยต้องการศึกษา หรือผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการ
วิจัยคำถามวิจัย: เป็นคำถามที่ต้องการหาคำตอบผ่านการวิจัย ควรสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และสามารถตรวจสอบได้
4. การกำหนดสมมติฐานวิจัย (Formulating Hypotheses)
Photo by AbsolutVision on Unsplash
สมมติฐานวิจัยคือคำกล่าวที่คาดการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งสามารถทดสอบได้ผ่านการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล
ลักษณะของสมมติฐานที่ดี
- ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง: ระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอย่างชัดเจน
- สามารถทดสอบได้: มีวิธีการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์เพื่อพิสูจน์หรือหักล้างสมมติฐาน
5. การออกแบบการวิจัย (Research Design)
Photo by Christian Brok on Unsplash
การออกแบบการวิจัยเป็นการวางแผนวิธีการดำเนินการวิจัยอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถตอบคำถามวิจัยและทดสอบสมมติฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเภทของการออกแบบการวิจัย
- การวิจัยเชิงปริมาณ: มุ่งเน้นการวัดและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงตัวเลข เช่น การสำรวจ การทดลอง
- การวิจัยเชิงคุณภาพ: มุ่งเน้นการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ในเชิงลึก เช่น การสัมภาษณ์ การสังเกต
- การวิจัยแบบผสมผสาน: รวมทั้งการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพเข้าด้วยกัน
6. การกำหนดกลุ่มตัวอย่าง (Sampling Design)
การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผลการวิจัยสามารถสรุปและนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
ขั้นตอนการกำหนดกลุ่มตัวอย่าง:
- กำหนดประชากรเป้าหมาย: ระบุประชากรที่เกี่ยวข้องกับปัญหาวิจัย
- เลือกวิธีการสุ่มตัวอย่าง: เช่น การสุ่มแบบง่าย การสุ่มแบบแบ่งชั้น
- กำหนดขนาดตัวอย่าง: พิจารณาจากความแม่นยำที่ต้องการและทรัพยากรที่มี
7. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
Photo by Campaign Creators on Unsplash
การเก็บข้อมูลเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการตอบคำถามวิจัยและทดสอบสมมติฐาน
วิธีการเก็บข้อมูล:
- แบบสอบถาม: เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่
- การสัมภาษณ์: เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลเชิงลึก
- การสังเกต: เหมาะสำหรับการศึกษาพฤติกรรมหรือปรากฏการณ์ในสภาพแวดล้อมจริง
8. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)
Photo by Myriam Jessier on Unsplash
หลังจากเก็บข้อมูลแล้ว ผู้วิจัยต้องวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามวิจัยและทดสอบสมมติฐาน
วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล:
- การวิเคราะห์เชิงปริมาณ: ใช้สถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล เช่น การทดสอบค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ความแปรปรวน
- การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ: ใช้การตีความและการสังเคราะห์ข้อมูล เช่น การวิเคราะห์เนื้อหาโดยนำทฤษฎีต่าง ๆ มาเป็นหลักในการวิเคราะห์
9. การสรุปผลและการเขียนรายงานวิจัย (Conclusion and Report Writing)
Photo by Kelly Sikkema on Unsplash
การสรุปผลและการเขียนรายงานวิจัยเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ
ซึ่งโครงสร้างรายงานวิจัย โดยทั่วไป มีดังนี้
บทนำ: แนะนำปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์ และความสำคัญของการวิจัย
บทที่ 2: ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
บทที่ 3: ระเบียบวิธีวิจัย
บทที่ 4: ผลการวิจัย
บทที่ 5: สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
แม้การทำวิจัยจะดูซับซ้อน แต่หากเข้าใจโครงสร้างและลำดับขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ก็ไม่ต่างจากการเดินทางที่มีแผนที่นำทาง บทความนี้ได้สรุป 9 ขั้นตอนสำคัญ ตั้งแต่การตั้งปัญหาวิจัย การทบทวนวรรณกรรม วางวัตถุประสงค์และสมมติฐาน ออกแบบงาน เก็บและวิเคราะห์ข้อมูล ไปจนถึงการเขียนรายงาน
หัวใจของงานวิจัยที่ดีคือ ความชัดเจน วางแผนเป็นขั้นตอน และตรวจสอบได้ สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มต้น การนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์ของตัวเอง จะช่วยให้งานวิจัยราบรื่นและมั่นใจยิ่งขึ้น
ในบทความถัดไป เราจะพาคุณไปเรียนรู้ เทคนิคการสืบค้นงานวิจัย อย่างมีประสิทธิภาพ—จะค้นยังไงให้เจอเร็ว ตรงประเด็น และน่าเชื่อถือ สามารถติดตามได้ในบทความเรื่องต่อไปค่ะ
บรรณานุกรม
Researcher Thailand. (ม.ป.ป.). เทคนิคการเขียนรายงานวิจัยให้ดีจนอาจารย์ชม. สืบค้นจาก https://researcherthailand.co.th/เทคนิคการเขียนรายงานวิจัยแล้ว/
กองพัฒนานักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. (ม.ป.ป.). [ชื่อเอกสารจากไฟล์ r20 ไม่ระบุชื่อชัดเจน] [PDF]. สืบค้นจาก https://sac-old.kku.ac.th/kmsac/research/r20.pdf
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. (2021). ขั้นตอนการทาวิจัย 10 ขั้นตอน [PDF]. สืบค้นจาก http://pharmacy.swu.ac.th/wp-content/uploads/2021/07/km2.pdf
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี. (ม.ป.ป.). บทที่ 2 กระบวนการวิจัยและการวิเคราะห์ปัญหา [PDF]. สืบค้นจาก https://www.udru.ac.th/oldsite/attachments/elearning/01/03.pdf
สำนักวิจัยและพัฒนา กรมชลประทาน. (ม.ป.ป.). การเขียนรายงานการวิจัย [PDF]. สืบค้นจาก http://research.rid.go.th/vijai_rid/rde/doc/re-wr.pdf
Categories
Hashtags