"โรคภูมิแพ้ขึ้นตา" เป็นหนึ่งในโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในเด็ก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่สภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มลภาวะทางอากาศและฝุ่นละอองเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองที่มีประชากรหนาแน่น จึงไม่น่าแปลกใจที่จำนวนเด็กที่มีอาการแพ้ทางตาจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

สาเหตุของโรคภูมิแพ้ขึ้นตา

โรคนี้เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตาชั้นนอก ทำให้เด็กมีอาการคันตา ตาแดง และอาจรบกวนชีวิตประจำวันได้ไม่น้อย แม้ว่าโรคภูมิแพ้ขึ้นตาจะไม่ใช่โรคที่อันตรายร้ายแรง แต่หากละเลยหรือไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ หรือในกรณีที่รุนแรงอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นได้

เด็กที่มีพื้นฐานเป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว เช่น แพ้อากาศ แพ้อาหาร หรือผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ มักจะมีแนวโน้มเกิดอาการแพ้ขึ้นตาได้ง่ายกว่าเด็กทั่วไป ซึ่งสาเหตุของโรคนี้มีหลากหลาย ตั้งแต่พันธุกรรม เช่น มีพ่อแม่ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ไปจนถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเกสรดอกไม้ ขนสัตว์ ไรฝุ่นในที่นอน หรือแม้แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การอยู่หน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์นานเกินไป

สังเกตอาการลูกน้อยให้ดี

คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการโรคภูมิแพ้ขึ้นตาในลูกได้จากสัญญาณต่อไปนี้:

• เด็กมีอาการคันตา โดยเฉพาะบริเวณหัวตา มักจะขยี้ตาอยู่บ่อยๆ
• กระพริบตาถี่ ตาแดงเรื่อ บริเวณรอบดวงตามีผื่นหรือรอยแดง
• ในรายที่มีอาการรุนแรง เยื่อบุตาขาวอาจบวมเป่ง ลักษณะคล้ายเยื่อใส
• มีน้ำตาไหล เริ่มแรกอาจใส ต่อมาข้นและเหนียว
• เปลือกตาบวม โดยเฉพาะช่วงตื่นนอน
• อาจมีตุ่มเล็กๆ บริเวณเยื่อบุตาด้านบนหรือล่าง

การดูแลเบื้องต้นที่บ้าน

หากพบว่าลูกมีอาการดังกล่าว พ่อแม่สามารถช่วยดูแลได้ดังนี้:

• หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น ขนสัตว์ ฝุ่น เกสรดอกไม้ หรือสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน
• ห้ามไม่ให้เด็กขยี้ตา เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น
• ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นประคบเบาๆ ที่ดวงตา เพื่อลดอาการคันและบวม
• หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือมีแนวโน้มแย่ลง ควรพาไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

ความหวังของอาการภูมิแพ้ขึ้นตา

แม้อาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นตาอาจเป็นๆ หายๆ และต้องใช้เวลารักษาค่อนข้างนาน แต่พ่อแม่ไม่ต้องกังวล เพราะเมื่อเด็กเติบโตเข้าสู่วัยรุ่น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะพัฒนาเต็มที่ อาการเหล่านี้มักจะค่อยๆ หายไปเอง

สรุป

โรคภูมิแพ้ขึ้นตาแม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่ก็ไม่ควรมองข้าม การเฝ้าระวังอาการและดูแลลูกอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งพาไปพบแพทย์เมื่อจำเป็น จะช่วยให้เด็กกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และเติบโตอย่างมีสุขภาพดีในทุกช่วงวัย