มีคำกล่าวว่า “อย่าเสียเวลาถกเถียงกับคนโง่ เพราะยิ่งเราทุ่มเทอธิบายเหตุผลอันหนักแน่นน่าเชื่อถือของตนออกไปมากเท่าไหร่ สาธารณชนก็จะยิ่งมีโอกาสมองเห็นความโง่เขลาดักดานในมันสมองของเราได้อย่างกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น”
โอ้ นับเป็นคำกล่าวอันล้ำลึก
ใช่ครับ ผมคิดขึ้นมาเอง เป็นคติเตือนจิตจากประสบการณ์ครั้งอดีตที่ชอบกระโดดลงไปร่วมเล่นเกมวิวาทะในฐานะพลเมืองดีแห่งโลกอินเทอร์เน็ต โลกที่ดูเหมือนมีกฎเกณฑ์ลับบังคับให้บรรดาผู้ใช้งานจำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นกับแทบทุกประเด็นดราม่า มิฉะนั้นอาจถูกพิพากษาตัดสินว่าเพิกเฉยต่อวิกฤตการณ์ทางสังคม อันส่งผลให้รัฐล่มสลาย อารยธรรมพังทลาย โลกแตก ทั้งที่ความจริงเป็นแบบนั้นหรือก็ไม่
แต่ผู้คนกลับทุ่มโถมพยายามแทบเป็นแทบตายเพื่อให้ข้อสรุปตนทรงอิทธิพลบนสมรภูมิแห่งตรรกศาสตร์ ช่างน่าเศร้า ท่ามกลางสนามรบที่จู่โจมผ่านภาษา ครั้นถึงคราวฝ่ายหนึ่งเลือกตั้งปุจฉาต่ออีกฝ่าย เจตนาก็มักเป็นไปเพื่อจับผิดจ้องทำลาย หาใช่ถามไถ่เพื่อประสานรอยร้าวไม่
และตราบใดที่รากฐานคุณค่า ความคิด เชื่อ ทัศนะ ยังมีอคติกั้นขวาง ความเข้าใจย่อมยากจะบังเกิด
ต่อให้ถ้อยแถลงของเราฟังสมเหตุสมผลตอบโจทย์หัวข้อสนทนา (ในมุมมองของเรา) มากแค่ไหน แต่ก็ยังสามารถฟังเหลวไหลสำหรับใครอีกฟากได้เสมอ
เช่นนั้น เครื่องมืออันทรงพลังที่จะช่วยพาเราก้าวข้ามพ้นไปจากสถานการณ์ความขัดแย้ง หรืออำนวยให้การแลกเปลี่ยนระดมปัญญากับสมาชิกต่างที่มาดำเนินไปอย่างราบรื่น จึงไม่ใช่เพียงทักษะการพูดจาสื่อสาร แต่รวมถึงทักษะการรับฟังอย่างตั้งใจ
โดยกระบวนการที่รวมเครื่องมือทั้งสองอย่างนี้ไว้เรียก สุนทรียสนทนา
สุนทรียสนทนา
สุนทรียสนทนา หรือ dialogue มีรากความหมายมาจากภาษากรีกคือ dia = “ผ่าน, ไหลผ่าน” และ logos = “ความหมาย, ถ้อยคำ” ดังนั้น สุนทรียสนทนาจึงไม่ใช่การโต้วาที (debate) เพื่อเอาชนะคะคาน หากคือกระบวนการที่ให้ “กระแสของความหมาย” ได้ไหลเวียนระหว่างกัน
จุดเริ่มต้นมาจากไหน
แม้การสนทนาเชิงลึกจะมีอยู่ในวัฒนธรรมของตะวันออกและตะวันตกมาอย่างยาวนาน แต่ “สุนทรียสนทนา” ในความหมายร่วมสมัยถูกทำให้เป็นระบบโดย เดวิด โบห์ม (David Bohm) นักฟิสิกส์เชิงทฤษฎี จากงานเขียนชื่อ On Dialogue และต่อมาวิลเลียม ไอแซคส์ (William Isaacs) ได้พัฒนาต่อในหนังสือชื่อ Dialogue and the Art of Thinking Together ซึ่งกลายเป็นฐานของการประยุกต์ใช้ในองค์กรและสังคมสมัยใหม่
ทำไมจึงต้องรู้จักสุนทรียสนทนา
1.เพราะข้อมูลมากมาย แต่ความหมายขาด
สุนทรียสนทนาช่วยให้เราสร้าง “ความหมายร่วม” แทนที่จะจมอยู่กับข้อมูลที่แข่งขันกันแย่งชิงพื้นที่ความสนใจ
2. เพราะงานยุคใหม่ต้องพึ่งพาสหวิชาชีพ
งานวิจัยชั้นนำชี้ว่า "ความฉลาดร่วม” (collective intelligence) ของทีมทำนายผลสัมฤทธิ์ของงานได้ดีกว่าค่า IQ เฉลี่ยจากสมาชิก และปัจจัยสำคัญคือความไวในการรับรู้ทางสังคม (social sensitivity) กับการมีส่วนร่วมที่ทั่วถึงซึ่งเติบโตได้ในพื้นที่สนทนาที่ดี
3. เพราะความปลอดภัยทางจิตใจ (psychological safety) คือเงื่อนไขของการเรียนรู้
งานสังเคราะห์จำนวนมากยืนยันว่าทีมที่สมาชิก “พูดได้โดยไม่กลัว” จะเรียนรู้ แก้ปัญหา และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้ดีกว่า ซึ่งสุนทรียสนทนาออกแบบมาเพื่อบ่มเพาะบรรยากาศแบบนี้โดยตรง
4. เพราะสังคมแตกขั้ว
จากหลักฐานเชิงสังเคราะห์และกรณีศึกษา“การสนทนาข้ามความต่าง” (intergroup dialogue / Inter-Faith Dialogue) และการเผชิญหน้าอคติอย่างมีทักษะสามารถลดกำแพงความรู้สึกระหว่างกลุ่มได้
5. เพราะนโยบายที่ดีต้องพึ่งพาการไตร่ตรองร่วม
หลักฐานจากการสำรวจความคิดเห็นแบบปรึกษาหารือ (Deliberative Polling) ในหลายประเทศชี้ว่าการสนทนาที่มีข้อมูลสนับสนุนช่วยยกระดับคุณภาพความเห็นสาธารณะ และบางกรณี ส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบายอีกด้วย
สุนทรียสนทนาต่างจากการ “ถกเถียงโต้วาที” อย่างไร
1. จุดมุ่งหมาย
สุนทรียสนทนาคือ “การทำความเข้าใจและเรียนรู้ร่วมกัน” ขณะที่การถกเถียงโต้วาทีมุ่ง “เอาชนะอีกฝ่ายด้วยเหตุผล”
2. ท่าที
สุนทรียสนทนาเชื้อเชิญให้ “แขวน” (suspend) สมมุติฐานและวางอคติลงเพื่อร่วมสำรวจหัวข้อสนทนา ส่วนการถกเถียงโต้วาทีเน้นปกป้องสมมติฐานเดิม
3. โครงสร้างอำนาจเสียง
สุนทรียสนทนาให้พื้นที่เท่าเทียมและการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงซึ่งเป็นปัจจัยหลักอันก่อให้เกิด “ปัญญารวมหมู่” หรือ collective intelligence ซึ่งต่างจากการถกเถียงโต้วาทีที่กำหนดผู้ชนะผู้แพ้ชัดเจน
ขั้นตอนและทักษะที่จำเป็นต่อกระบวนการสุนทรียสนทนา
1. สร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ก่อนเริ่ม
- จัดที่นั่งเป็นวงกลม ไม่มีสิ่งกีดขวางหรือโต๊ะกั้น หากมีป้ายชื่อให้ใช้ขนาดเท่ากัน และทุกคนมีสิทธิ “พักหายใจ” เพื่อชะลออุณหภูมิอารมณ์
- หากเป็นประเด็นนโยบาย ให้เอกสารประกอบที่รอบด้าน และมีกติกาการถามผู้เชี่ยวชาญแบบเท่าเทียมกัน
- กำหนดข้อตกลงร่วมให้ทุกคนตั้งใจฟังอย่างลึกซึ้ง, พูดจากประสบการณ์ตรง, ไม่ขัดจังหวะ, รักษาความลับในวงสนทนา, ให้ความสำคัญกับเวลาและลำดับของผู้พูด
2. แขวนสมมติฐาน
- เชิญผู้เข้าร่วมให้วาง อคติ, ความเชื่อ, ความกลัว, ผลประโยชน์ที่อาจมีผลต่อการตีความลง
- ไม่คาดเดาคำตอบล่วงหน้า
3. รับฟังอย่างสำรวม (Mindful & Socially Sensitive Listening)
- ฝึก “สะท้อน” (reflect) สิ่งที่ได้ยินก่อนจะเพิ่มความเห็นของตน
- จับสัญญาณที่นอกเหนือจากคำพูด เช่น น้ำเสียง เว้นวรรค สีหน้า ภาษากาย
4. ถามแบบเปิดหรือชวนคิด ไม่ใช่ต้อนให้จนมุม
- ตั้งคำถามด้วยความอยากรู้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อเอาชนะหรือหักล้าง
- ไม่ซ่อนการตัดสินผ่านคำถามที่แฝงนัยว่าอีกฝ่ายผิด
- เป็นคำถามที่ชวนขยายเรื่องราวผ่านประสบการณ์ของผู้พูดมากกว่ามุ่งหวังแค่คำตอบว่าใช่หรือไม่ใช่
5. อำนวยให้การมีส่วนร่วมเกิดขึ้นทั่ววงสนทนา
- แบ่งรอบพูด โดยกำหนดเวลาเพื่อให้ทุกเสียงปรากฏ
- กระบวนกรต้องดูแลการแบ่งรอบไม่ให้คนเดิมครอบครองเวลาหรือมีเสียงใดถูกละเลย เพราะความฉลาดร่วมเกิดเมื่อการมีส่วนร่วมกระจายทั่ววง ไม่ใช่เมื่อ “คนเก่งไม่กี่คน” พูดตลอดเวลา
- กระบวนกรไม่ใช่ผู้พิพากษา และต้องจับสัญญาณอำนาจทางตำแหน่ง เพศ วัย ที่อาจทำให้เสียงบางคนเบาเกินไป และเชื้อเชิญเสียงเหล่านั้นให้ปรากฏ โดยตั้งคำถามเปิดและสะท้อนให้คนในวงฟัง
6. มองหาความหมายร่วม
- มองหาความหมายใหม่ที่ “เกิดขึ้นระหว่างเรา” ไม่ใช่แค่สรุปจากความเห็นที่เสียงดังที่สุด
ใช้ในกรณีไหนได้บ้าง
1. องค์กรและคณะทำงาน: เพื่อทบทวนยุทธศาสตร์ บทเรียน พัฒนาโครงการ จัดลำดับความสำคัญของภาระหน้าที่
2. ห้องเรียนและสถาบันการศึกษา: การตั้งคำถามเปิดกว้างให้นักเรียนนักศึกษาร่วมกันสืบค้น ช่วยสร้างการแลกเปลี่ยนเหตุผลหลายมุมมอง กระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมได้สำรวจคุณค่าของความต่างอย่างอิสระ
3. ชุมชนและโยบายสาธารณะ: การเปิดเวทีรับฟังเพื่อให้ข้อมูลเกิดความสมดุล ช่วยยกระดับคุณภาพข้อเสนอและความไว้วางใจระหว่างพลเมืองกับผู้กำหนดนโยบาย
4. การอยู่ร่วมในสังคมพหุวัฒนธรรม: โปรแกรมสนทนาข้ามความต่างเพื่อคลี่คลายอคติและความหวาดกลัว ช่วยสร้างทักษะการแลกเปลี่ยนอย่างเคารพและการเอาใจเขามาใส่ใจเรา (perspective-taking)
กระบวนการสุนทรียสนทนาที่ดีต้องเกิดการ “เห็นพ้อง” จึงจะถือว่าประสบความสำเร็จใช่หรือไม่
ไม่จำเป็น จุดหมายไม่ใช่เอกฉันท์ แต่คือ ความเข้าใจที่สมบูรณ์ขึ้น รวมถึงการหา วิธีปฏิบัติที่เหมาะสมกับเวลานั้น โดยยังเปิดพื้นที่ให้สามารถเรียนรู้ลองผิดลองถูกต่อไป (safe-to-try)
จากข้อมูลข้างต้น สุนทรียสนทนานับเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถสร้างความหมายร่วมบนฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ เปิดทางให้ศักยภาพของทีมปรากฏ และแปลงความแตกต่างเป็นพลังสร้างสรรค์ ทั้งในองค์กร ห้องเรียน ชุมชน รวมถึงเวทีสาธารณะ โดยมีหลักฐานเชิงประจักษ์ทางการทดลองและกรณีศึกษาจำนวนมากยืนยันผลดีของการจัดพื้นที่สนทนาที่ปลอดภัย เท่าเทียม มีข้อมูลรอบด้าน เฉกกระบวนการสุนทรียสนทนา
สุนทรียสนทนา มิใช่การสนทนาเพื่อต่อรองผลประโยชน์ โอ้อวด หรือขายความคิดให้ผู้อื่นคล้อยตาม หากเป็นการสนทนาที่ผู้เข้าร่วมต้องเปิดใจ พร้อมที่จะเปลี่ยนมุมมองและสมมุติฐานของตนอย่างกล้าหาญและถ่อมตน
- วิศิษฐ์ วังวิญญู
สรุป
เหตุผลที่ผมมักไม่ถกเถียงแก้ต่างและเลือกจะเป็นฝ่ายรับฟังในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าตัวเองสูงส่งกว่า ถูกต้องกว่า แต่เพราะตระหนักว่าในอุณหภูมิอันร้อนเดือดของสถานการณ์ ต่างฝ่ายต่างย่อมต้องการเอาชนะ ไม่ปรารถนาเป็นคนผิด (แน่ล่ะว่าผมด้วย) และแทบไม่มีใครคิดอยากเข้าใจกัน (มิพักพูดถึงคำว่าอภัย) แถมการได้เอ่ยปากแถลงอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่แห่งตน ยังเป็นดั่งกลลวงหลอกล่อให้ผู้พูดรู้สึกได้เปรียบ (และกระหายอยากพูดเข้าไปอีก) โลกมีนักพูดจำนวนมาก มีหลักสูตรอบรมพัฒนาทักษะการเล่าเรื่องเปิดให้เลือกสมัครอยู่ไม่ขาด แต่บางที สิ่งที่โลกของเรากำลังต้องการอย่างเร่งด่วน อาจเป็นจำนวนผู้มีทักษะด้านการฟัง ซึ่งบทบาทดังกล่าวนี้หาได้ทำให้ใครเสียเปรียบไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากจุดหมายของการอยู่ร่วมกันในสังคมคือความผาสุกสมานฉันท์ ผมคิดว่าการสดับรับฟังกัน
ยังสำคัญและจำเป็น
อ้างอิง
- On Dialogue - David Bohm Society
- science.org/action/downloadSupplement?doi=10.1126%2Fscience.1193147&file=woolley_som.pdf
- Edmondson, Amy & Lei, Zhike. (2014). Psychological Safety: The History, Renaissance, and Future of an Interpersonal Construct. Annual Review of Organizational Psychology and Organizational Behavior. 1. 23-43. 10.1146/annurev-orgpsych-031413-091305.
- https://www.centrepeaceconflictstudies.org/wp-content/uploads/CPCS-Dialogue-Facilitation-Thai.pdf
- https://peaceresourcecollaborative.org/wp-content/uploads/2020/04/IPP-7.pdf
- https://www.newyorker.com/news/dispatch/what-happens-when-a-group-of-strangers-spends-a-day-debating-immigration
- https://www.cs.cmu.edu/~ab/Salon/research/Woolley_et_al_Science_2010-2.pdf
- Farrar, C.,Fishkin, J. S., Green, D. P., List, C., Luskin, R. C. and Levy Paluck, E. (2010) Disaggregating deliberation's effects: an experiment within a deliberative poll. British journal of political science, 40 (2). pp. 333-347. ISSN 1469-2112 DOI: 10.1017/S0007123409990433
- https://doi.org/10.1016/j.appdev.2013.11.002
- https://unsplash.com/photos/two-men-sitting-at-a-table-talking-to-each-other-8ihrJYyMiSc
Categories
Hashtags