การประชุมวิชาการเรื่อง “ความรู้และการวิจัยเพื่อสังคมที่เท่าเทียม” (Knowledge and Research for Inclusive Society Seminar: KRIS2025) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24 - 25 พฤศจิกายน 2568 ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมกับการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (The 16th International Conference on Ecomaterials 2025: ICEM2025) มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ การถอดบทเรียน ตลอดจนผลงานวิจัยที่ตอบโจทย์ความรู้และการวิจัยเพื่อสังคมที่เท่าเทียม
นอกจากนี้ยังมุ่งพัฒนากลุ่มวิจัยและกลุ่มทำงานผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสาขาและความเชี่ยวชาญที่แตกต่างหลากหลาย อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพและความเข้มแข็งของการวิจัยโดยรวมของผู้เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือทางวิชาการ งานวิจัย และการบริการวิชาการระหว่างชุมชน ภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิจัย และผู้เชี่ยวชาญ
การประชุมครั้งนี้เปิดรับผู้เข้าร่วมจากองค์กรพัฒนาเอกชน ชาวบ้าน เอกชน รัฐ นักวิชาการ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป โดยกิจกรรมหลักของการประชุมประกอบด้วยการเสวนาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ทางด้านการพัฒนาชุมชนและสังคม เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ มุมมอง และเสนอประเด็นการวิจัยที่สอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคม
พร้อมทั้งมีการจัดห้องสัมมนากลุ่มย่อย เพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานวิจัยสำหรับอภิปรายและด้วยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างองค์กรภาครัฐและเอกชนกับการพัฒนาชุมชนและสังคม โดยเน้นการตอบโจทย์ของประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น สุขภาพและสาธารณสุข การศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิต ความมั่นคงด้านอาหาร เศรษฐกิจชุมชนและความเหลื่อมล้ำ การจัดการน้ำ พลังงาน สิ่งแวดล้อม สังคมผู้สูงอายุและคนพิการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทั่วถึง และสหวิทยาการเพื่อการจัดการชุมชน
และยังมีการเผยแพร่ผลงานของมหาวิทยาลัยกับเครือข่ายพันธมิตรสู่ผู้ใช้ประโยชน์ โดยนำเสนอในรูปแบบโปสเตอร์ นิทรรศการ รวมถึงตลาดนัดชุมชนจากกลุ่มต่าง ๆ อาทิ

ก่อตั้งโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ ผู้พัฒนาพื้นที่การเกษตรริมคลองบางมดกว่า 4 ไร่ให้เป็นฐานเรียนรู้ (Farm Based Learning) โดยใช้แนวคิดชุมชนยั่งยืนพึ่งตนเอง ตามหลัก Self-Sustained Community (SSC) ให้มีทรัพยากรพอเพียงสำหรับการดำรงชีวิตและสร้างรายได้จากกิจกรรมการเชิงนิเวศซึ่งเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตริมคลอง (Farm Tour) เช่น กิจกรรมเที่ยวชมวิถีเกษตรปลอดสาร การทำอาหารจากวัตถุดิบในฟาร์ม การเรียนรู้เรื่องปลาและวิธีการจับปลาด้วยเบ็ดไม้ไผ่ รวมทั้งกิจกกรมศิลปะจากธรรมชาติ
ด้านการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เซฟติสท์ฟาร์มได้จัดกิจกรรม Cultural Exchange ให้หน่วยงาน International Affairs Office (IA) อย่างต่อเนื่อง และได้โอกาสร่วมเป็นคณะทำงานในโครงการวิจัยหลายโครงการ อาทิ โครงการบางมดพื้นที่ร่วมสร้างสรรค์ชุมชนท่องเที่ยวเกษตรวัฒนธรรมน้ำเพื่อกรุงเทพเมืองยืดหยุ่น โครงการการร่วมสร้างต้นแบบชุมชนคาร์บอนต่ำ เพื่อกรุงเทพเมืองยืดหยุ่นยั่งยืนในพื้นที่คลองบางมดสังคมเกษตรเมืองริมน้ำ ในเขตทุ่งครุและบางขุนเทียน
ก่อตั้งเมื่อปี 2552 โดยแกนนำชุมชนและกลุ่มสตรีจำนวน 12 คน มีเป้าหมายหลักคือการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ว่างงาน อาทิ ผู้สูงอายุ แม่บ้าน เยาวชน ด้วยการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรผ่านการแปรรูปให้เป็นสินค้า และส่งเสริมให้ชุมชนเกิดความสามัคคีปรองดอง
ในปี 2561 ได้จัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยชุมชน ชื่อ “กัมปงในดงปรือ” เพื่อเป็นตลาดรองรับผลิตภัณฑ์แปรรูป เชื่อมโยงกับวิถีชีวิต อัตลักษณ์ และความหลากหลายของพหุวัฒนธรรมท้องถิ่น ไปพร้อมกับแนวคิดการอนุรักษ์คลองและสิ่งแวดล้อมเพื่อการเกษตร
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีได้ช่วยพัฒนาต่อยอดการดำเนินงานของกลุ่มด้วยการเพิ่มช่องทางการตลาดออนไลน์ การปรับปรุงสาธารณูปโภคด้วยการใช้แสงสว่างจากโซลาร์เซลล์ การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากนมและเนื้อแพะเป็นไอศกรีมนมแพะ พุดดิ้งนมแพะ ไส้อั่วเนื้อแพะ และการพัฒนาการท่องเที่ยงเชิงเกษตร
จากสมาชิกผู้ร่วมก่อนตั้งจำนวน 12 คนในปี 2552 ปัจจุบัน กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ดารุ้ลอิบาดะห์ มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 43 คน
กลุ่มแม่บ้านรักษ์ทุ่ง
หลังได้ศึกษาเรียนรู้เรื่องการส่งเสริมอาชีพ ชาวบ้านในเขตทุ่งครุที่ยังประกอบอาชีพเกษตรกรรมในลักษณะสวนเกษตรแบบผสมผสาน ด้วยการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงปลาในร่องสวน จึงเริ่มรวมตัวกันเพื่อหาแนวทางแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค้าสินค้าในชุมชน ด้วยการตั้งกลุ่มแม่บ้านเกษตร ภายใต้ชื่อ กลุ่มแม่บ้านเกษตรรักษ์ทุ่ง
โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีได้มีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนในหลากหลายมิติ อาทิ แนะนำการออกแบตราผลิตภัณฑ์ “รักษ์ทุ่ง” กอปรกับชุมชนทุ่งครุมีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อหาแนวทางการพัฒนารวมทั้งสนับสนุนระบบตรวจวัดและแจ้งเตือนคุณภาพน้ำให้กับชุมชนด้วย
กล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้ให้การสนับสนุนทั้งการประกอบอาชีพหลักและอาชีพเสริม
BKT Next x วิสาหกิจชุมชน พัฒนาผลิตภัณฑ์ จาก ทะเลบ้านบางขุนเทียน
บางขุนเทียนเน็กซ์ คือ คณะทำงานพัฒนาพื้นที่บางขุนเทียน บนฐานงานวิจัยเชิงปฏิบัติ ทำงานร่วมกับชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความหลากหลายของนิเวศป่าชายเลน เริ่มจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากภูมิปัญญาพื้นบ้านและวัตถุดิบในป่าชายเลน ร่วมกับความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ เพื่อยกระดับความรู้ด้านอาหารให้กับท้องถิ่น
สถาบันพัฒนาและฝึกอบรมโรงงานต้นแบบ และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้ช่วยสร้างอัตลักษณ์ให้กับผลิตภัณฑ์ และให้ข้อมูลด้านคุณสมบัติวัตถุดิบ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบใหม่ ๆ จนเกิดการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนบางขุนเทียน ชุมชนได้รับรายได้จากการเก็บวัตถุดิบ และเริ่มลดการทำลายพืชป่าชายเลน เกิดการพัฒนาความรู้เพื่อถ่ายทอดสู่เยาวชนในชุมชน และการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น
SoCHAMP (Social Chang Agent Maker Program)
KMUTT Social Lab ได้พัฒนาโปรแกรมเพื่อสร้างผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่มุ่งเน้นพัฒนานักศึกษาผ่านการเรียนรู้จริงในห้องปฏิบัติการทางสังคม ทั้งนี้เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจและเข้าถึงปัญหาของบริบทชุมชนอย่างแท้จริง เมื่อผ่านโปรแกรม SoCHAMP นักศึกษาจะรวมกลุ่มเรียกตัวเองว่า SoChang (Social Change) หรือกลุ่มนักศึกษาผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จากนั้นค้นหาปัญหาจริงเพื่อช่วยแก้ไขให้กับกลุ่มเป้าหมายที่สนใจ โดยเน้นการแก้ปัญหา 3 มิติ คือ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
การดำเนินงาน SoCHAMP ผ่านมาแล้ว 3 รุ่น (ปี 2565-2567) มีนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 70 คน จากกว่า 10 ภาควิชา 6 คณะ จากนั้นได้รวมตัวเป็นกลุ่มนักศึกษา SoChanfe ที่มีนักศึกษาไม่น้อยกว่า 150 คน ตลอดระยะเวลา 3 ปี ดำเนินโครงการเพื่อชุมชนและสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 9 โครงการ

สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
นางสาวณฐภัทร สุวรรณโฉม นักวิจัย และนายเจตนิพัทธ์ ถาวร ผู้ช่วยนักวิจัยกล่าวว่า สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงมีบทบาทในการส่งเสริมความรู้และพัฒนาชุมชนทางภาคเหนือให้สามารถประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างเข้มแข็งและสามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีรากฐานมาจากอัตลักษณ์ในพื้นที่
ตัวอย่างเช่นการส่งเสริมวิสาหกิจกลุ่มสตรีแม่ชาถ่า ในตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ในชุมชน บ้านแม่ซา อันเป็นถิ่นฐานของชาวไทยภูเขา ซึ่งมีไม้ไผ่ซางขึ้นอยู่หนาแน่นรอบหมู่บ้าน และไม้ไผ่นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ไม้ใช้สอยในชีวิตประจำวัน หากยังบันดาลใจให้เกิด ลายซา ลวดลายผ้าที่สะท้อนความผูกพันระหว่างชุมชนกับธรรมชาติ กลายเป็นอัตลักษณ์ประจำถิ่น และสิ่งที่ทำให้บ้านแม่ซาโดดเด่นยิ่งขึ้น คือ ทักษะการทอผ้าที่สืบทอดกันมาหลายชั่วคน ประกอบกับความหลากหลายทางชีวภาพของพืชท้องถิ่นและสมุนไพรที่ให้สีสันสวยงาม สีจากธรรมชาติและฝีมือที่ประณีตหลอมรวมเข้ากับภูมิปัญญาเดิม กลายเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า
ความภาคภูมิใจของสตรีในชุมชนได้รวมตัวกันก่อให้เกิดเป็นกลุ่มวิสาหกิจที่สามารถสร้างรายได้เสริมให้ชาวบ้าน ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูและอนุรักษ์วัฒนธรรมการทอผ้าของชุมชนให้คงอยู่คู่กับบ้านแม่ซาต่อไป
อ้างอิง
- KRIS2025.(2568)เกี่ยวกับKRIS.สืบค้น 25 พฤจิกายน จาก https://www.kris.kmutt.ac.th/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%9A-kris
Categories
Hashtags