นิยายวิทยาศาสตร์ สนามทดลองทางความคิด พื้นที่บ่มเพาะจินตนาการ
Published: 20 August 2025
9 views



“จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” คือประโยคอมตะของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นยอดอัจฉริยะคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ เขาเคยกล่าวเพิ่มเติมไว้ในบทสัมภาษณ์เดียวกันชื่อ What Life Means to Einstein : An Interview by George Sylvester Viereck ว่า


“ความรู้มีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการกว้างไกลจนแผ่ล้อมโลกทั้งใบได้”


ใช่ ฟังจากบริบท ไอน์สไตน์คงไม่ได้กำลังพยายามสื่อบอกเราว่าความรู้ช่างเป็นสิ่งตายซากไร้ประโยชน์ แต่ตรงข้าม หากเราต้องการให้ความรู้ที่มีอยู่ก่อประโยชน์ ก็ย่อมจำเป็นต้องอาศัยจินตนาการ

พูดอีกอย่าง นวัตกรรมทั้งหลายล้วนเป็นส่วนผสมระหว่างจินตนาการและความรู้ของผู้คนจำนวนหนึ่งซึ่งวาดฝันถึงสิ่งประดิษฐ์พิสดาร ยังไม่เคยมีมาก่อนบนโลก และพวกเขามักถูกหาว่าไม่เต็มเต็ง แน่ล่ะ ก็เพราะต้นแบบช่วงเริ่มต้นต่างล้มเหลวไม่เป็นท่า กระนั้น หลังผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ในที่สุดพี่น้องตระกูลไรต์ก็ทำให้โครงไม้ ยาง ผ้าใบ ซึ่งมีน้ำหนักรวมเกือบสามร้อยกิโลกรัมขึ้นบินบนฟ้าได้สำเร็จ และ โรเบิร์ต ก็อดดาร์ดเอง ซึ่งเคยถูกบรรณาธิการ The New York Times เย้ยหยันว่า “ยังไม่เข้าใจวิชาฟิสิกส์ระดับมัธยม” ก็ได้รับคำขอโทษและมีผู้ขนานนามให้เป็นหนึ่งในสามของบิดาแห่งวิทยาการจรวด

จากหน้ากระดาษสู่ของใช้ประจำวัน

แต่นอกเหนือจากจินตนาการสุดบรรเจิดที่มีผู้พยายามริเริ่มทำให้เกิดขึ้นจริง เทคโนโลยีที่ตอนแรกดูคล้ายจะมีจริงได้แค่เพียงในจินตนาการอย่างอุปกรณ์ไฮเทคจากงานวรรณกรรมประเภท นิยายวิทยาศาสตร์ เมื่อผสมผสานเข้ากับองค์ความรู้ ผลลัพธ์ก็สามารถทอดนำสู่การพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นอุปกรณ์เปลี่ยนโลกที่ผู้คนยุคปัจจุบันใช้กันทั่วไป ซึ่งหลายชิ้น เราอาจมีไว้ในครอบครอง หรือกำลังใช้งานอยู่ขณะนี้ เช่น


1. Joymaker

จากนวนิยายเรื่อง The Age of the Pussyfoot (ตีพิมพ์เป็นรายตอนปี 1966 ออกรวมเล่มปี 1969) ของ เฟรเดอริก โพล กล่าวถึงชายจากศตวรรษที่ 20 ผู้ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นในโลกอนาคตและต้องเรียนรู้ชีวิตวิถีใหม่ซึ่งทุกอย่างล้วนเชื่อมผ่านอุปกรณ์พกพาชื่อ “Joymaker” นับตั้งแต่การสื่อสารทางไกล จ่ายเงิน เรียกใช้บริการ ไปจนถึงการค้นข้อมูลและจัดการตารางชีวิต หนังสือเสียดสีสังคมผู้บริโภคและตั้งคำถามถึง “ความสะดวกสบายสุดขีด” ว่าเราต้องแลกมาด้วยอะไร

Joymaker ถูกบรรยายว่ารวมความสามารถของโทรศัพท์ บัตรชำระเงิน นาฬิกาปลุก คลังความรู้ และเลขาส่วนตัวไว้ในอุปกรณ์ชิ้นเดียว ซึ่งชวนให้นึกถึงสมาร์ตโฟนที่มีผู้ช่วยเอไอในปัจจุบันอย่างยิ่ง


2. Seashell / Thimble Radios

จากนวนิยายเรื่อง Fahrenheit 451 (ค.ศ. 1953) ของ เรย์ แบรดบิวรี กล่าวถึง “Fireman” (ที่ไม่ได้แปลว่านักดับเพลิง) ผู้อาศัยอยู่ในโลกดิสโทเปียซึ่ง “การอ่านคืออาชญากรรม” วันหนึ่ง เขาเกิดคำถามต่อบทบาทของตนเอง เมื่อได้พบกับผู้คนและประสบการณ์ที่สั่นคลอนจิตใจให้เริ่มตระหนักในคุณค่าแห่งความคิดและหนังสือ ระหว่างเรื่องราวดำเนินไป ผู้เขียนบรรยายถึงอุปกรณ์จิ๋วใส่ในหูที่เรียกว่า “seashells” หรือ “thimble radios” ซึ่งปล่อย “มหาสมุทรแห่งเสียงเพลงและบทสนทนา” สู่จิตใจไม่รู้จบ ภาพดังกล่าวแทบตรงกับ earbuds หรือหูฟังอินเอียร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ 


3. Credit Card

จากนวนิยายเรื่อง Looking Backward: 2000 - 1887 (ค.ศ. 1888) ของ เอ็ดเวิร์ด เบลลา กล่าวถึงชายชาวบอสตันในปี 1887 ผู้หลับใหลแล้วตื่นขึ้นในปี 2000 เพื่อพบกับสังคมที่จัดระบบเศรษฐกิจแรงงานอย่างใหม่ นวนิยายพาเราทัวร์อนาคตผ่านบทสนทนาของครอบครัวอุปถัมภ์และชีวิตในเมืองยูโทเปีย ที่น่าสนใจคือผู้เขียนใช้คำว่า “credit card” ซ้ำหลายครั้งเพื่ออธิบาย “บัตรสำหรับใช้จ่ายแทนเงินสด” ซึ่งภายหลังระบบบัตรเครดิตสมัยใหม่ก็เกิดขึ้นจริงในภาคธุรกิจช่วงทศวรรษ 1920 และบัตรสากลใบแรกอย่าง Diners’ Club ก็เปิดตัวขึ้นในปี 1950 ก่อนเครือข่ายบัตรและมาตรฐานการชำระเงินจะพัฒนาจนแพร่หลายไปทั่วโลก

4. Logics

ในเรื่องสั้นวิทยาศาสตร์ A Logic Named Joe (ค.ศ. 1946) ของ เมอร์เรย์ ลิน์สเตอร์ ผู้เขียนได้จินตนาการถึงอุปกรณ์หน้าตาเหมือนโทรทัศน์แต่มีแป้นพิมพ์ (เรียก logic) ซึ่งเชื่อมกับ “ถังข้อมูล” ที่รวมสารสนเทศทั้งโลก ให้ผู้ใช้ค้นเนื้อหา สามารถโทรคุยแบบเห็นหน้า ดูพยากรณ์อากาศ ดูรายการสารพัด และใช้ทำบัญชี รวมถึงอื่น ๆ อีก ซึ่งแนวคิดของเทคโนโลยีดังกล่าวเทียบได้กับคุณสมบัติของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างยิ่ง


อ่านเพื่อจุดประกาย เขียนเพื่อค้นพบนวัตกรรมใหม่

นิยายวิทยาศาสตร์ไม่เพียงเป็นแหล่งขุมทรัพย์ความบันเทิงในฐานะเรื่องอ่านเล่น แต่ยังช่วยพาเราก้าวข้ามขีดจำกัดของความรู้ไปสู่โลกมิติอื่นซึ่งอาจมีเพียงไม่กี่คนเคยคิดฝันถึง

ขณะเดียวกัน ในฐานะผู้ผลิต (มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากที่สร้างสรรค์ผลงานนิยายวิทยาศาสตร์ อาทิ ไอแซก อาซิมอฟ, คาร์ล เซแกน, อาเธอร์ ซี. คลาร์ก และ จันตรี ศิริบุญรอด นักเขียนชาวไทยผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์ไทย) นิยายวิทยาศาสตร์สามารถทำหน้าที่เสมือนห้องทดลองทางความคิด (thought-lab) ที่เปิดกว้าง มอบอิสระให้นักเขียนใช้จินตนาการเสกสร้างสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำได้โดยไร้ขีดจำกัดมากดดันกั้นขวาง ฝากความประทับใจไว้ในห้วงทรงจำของนักอ่าน เพื่อวันหนึ่งข้างหน้า อนาคต เมื่อนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรมีความรู้มากพอ สิ่งที่เคยเป็นไปไม่ได้ ก็อาจจะสามารถเป็นไปได้จริง


บทสรุป

แม้มีคำบอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ แต่หากขาดความรู้ สิ่งที่คิดจินตนาไว้ก็คงเป็นได้แค่เมฆหมอกเลื่อนลอยไร้แก่นสาร เป็นเพียงฝันกลางวัน ซึ่งตรงข้ามกับนวัตกรรมอันจับต้องได้ ดังนั้น ความรู้จึงอาจเปรียบดั่งสะพานช่วยเชื่อมฝันกลางวันกับโลกแห่งความจริง

ทั้งสองสิ่งควรมีอยู่คู่กัน

วันนี้คุณอ่านนิยายวิทยาศาสตร์แล้วหรือยัง

หรือว่าจะลองเขียนขึ้นมาเองสักเรื่องเลยดี





อ้างอิง

https://www.saturdayeveningpost.com/wp-content/uploads/satevepost/einstein.pdf

https://www.realclearscience.com/2018/07/20/when_the_ny_times_apologized_to_robert_goddard_282082.html?utm_source=chatgpt.com

https://metaphors.lib.virginia.edu/metaphors/23859?utm_source=chatgpt.com

https://strangerthansf.com/reviews/pohl-ageofthepussyfoot.html

https://en.wikipedia.org/wiki/A_Logic_Named_Joe?utm_source=chatgpt.com

https://unsplash.com/photos/a-black-and-white-photo-of-a-glass-window-sIJgpl_lt6g

Comments
To join the comment, please sign in.
Sign in
Don’t have an account? Register
Loading comments...