จากข้อมูลที่รวบรวมโดย Trading Economics รวมถึงรายงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า ปี พ.ศ. 2568 ประเทศไทยมีจำนวนเกษตรกรมากถึงสามในสิบของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยสร้างมูลค่าผลผลิตอยู่ที่ประมาณ 9% ในขณะภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีแรงงานน้อยกว่า หรือราวสองในสิบของจำนวนประชากรนั้น สามารถสร้างมูลค่าผลผลิตอยู่ที่ประมาณ 32%
อย่างไรก็ตาม หากไม่มองเฉพาะ GDP ภาคการเกษตรยังคงมีความสำคัญในแง่อาชีพหลักของผู้คนหลายล้านครัวเรือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยที่สืบทอดภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น โดยปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคม จากเกษตรกรรมแบบยังชีพ มาสู่เกษตรกรรมเชิงพาณิชย์
ภายใต้ปัจจัยใหม่ทำให้เกษตรกรชาวไทยต้องเผชิญความท้าทายมากขึ้น ทั้งจากบริบทเชิงโครงสร้างอย่างความเหลื่อมล้ำของการถือครองที่ดิน การขาดแคลนแรงงาน ทุนผูกขาด และระบบการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายด้านความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการต้องยกระดับคุณภาพมาตรฐานให้สามารถแข่งขันในตลาดโลก
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เกษตรกรไทยจำนวนมากจึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ การเกษตรแบบยั่งยืน ไม่เพียงเพราะแรงกดดันจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและผลักดันโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Model) เท่านั้น แต่ยังเกิดจากความตระหนักรู้ของเกษตรกรเอง ทำให้การเกษตรแบบยั่งยืน กลายเป็นแนวทางที่ช่วยรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ วิถีชีวิต และธรรมชาติ
ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว นวัตกรรมการเกษตร จึงกลายเป็นคำตอบสำคัญที่จะมาช่วยปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตจากระบบเกษตรดั้งเดิมที่พึ่งพาแรงงานและทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก ไปสู่ระบบเกษตรอัจฉริยะที่เป็นมากกว่าการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ แต่หมายรวมถึงการประยุกต์ใช้ความรู้ แนวคิดเชิงระบบ และการมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพร้อมสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
ปัจจุบัน นวัตกรรมการเกษตรที่ได้รับการพัฒนาและนำมาปรับใช้ในประเทศไทยมีอยู่หลากหลายรูปแบบ อาทิ
1.การใช้เซ็นเซอร์วัดความชื้นในดิน เพื่อคำนวณปริมาณน้ำที่พืชจำเป็นต้องได้รับ
2.การใช้โดรนสำรวจแปลงเพาะปลูก เพื่อตรวจหาศัตรูพืชหรือสัตว์รบกวน
3.การใช้แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนเพื่อบันทึกข้อมูลผลผลิต ต้นทุน ผลกำไร
4.การใช้ระบบ IoT (Internet of Things) เชื่อมต่ออุปกรณ์ภายในพื้นที่
5.การใช้ข้อมูล Big Data เพื่อวิเคราะห์แผนการตลาด
ในฟาก มจธ. เอง มีการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อมาพัฒนาการเกษตรในระดับชุมชนเช่น โครงการส่งเสริมการนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตและเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งมีการศึกษากระบวนการแปรรูปหัวไชโป้ว หรือผักกาดหัวดองเค็มที่เป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของจังหวัดราชบุรี และพบว่า มักเกิดน้ำเสียจำนวนมากจากขั้นตอนการดองเค็มและดองหวาน จากการศึกษาของ ดร. พิสิฐพงษ์ อินทรพงษ์และคณะ (2566) ระบุว่า น้ำเสียจากการดองเค็มคิดเป็นประมาณร้อยละ 40 ของน้ำหนักผักกาดหัวสด หรือราว 50 กิโลกรัมต่อวัน ส่วนการดองหวานมีน้ำเสียประมาณร้อยละ 20 ของน้ำหนักผักแห้ง รวมแล้วทั้งปีจะมีน้ำเสียจากการแปรรูปประมาณ 20 ตัน โดยน้ำเสียดังกล่าวมีทั้งเกลือและน้ำตาลผสมอยู่ในระดับหนึ่งซึ่งหากปล่อยลงสู่ดินหรือแหล่งน้ำโดยไม่ผ่านการจัดการ อาจทำให้ดินเค็มหรือเกิดมลพิษได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง พืชหัวอย่างผักกาดหัว มีความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพดินเค็มได้ดี จากรายงานของ วิชิตพลและคณะ (2553) พืชจะปรับสมดุลเกลือและน้ำในเซลล์ โดยสร้างสารบางชนิดขึ้นมา เช่น กรดอะมิโนโปรลีน (Proline) และ น้ำตาลละลาย (Soluble Sugar) เพื่อช่วยให้พืชทนต่อความเค็มได้ และยังทำให้หัวผักกาดมีรสหวานและกรอบขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะที่เหมาะต่อการแปรรูปเป็นไชโป้ว
นอกจากนี้ ผลการศึกษาของ อรุณีและคณะ (2536) พบว่า ผักกาดหัวสามารถทนความเค็มได้สูงสุดถึงร้อยละ 5.12 ของปริมาณเกลือ และในระดับนี้ยังช่วยให้พืชโตเร็วและให้ผลผลิตเร็วขึ้น ดังนั้น เมื่อเทียบกับน้ำเสียจากการแปรรูปที่มีค่าความเค็มเพียงร้อยละ 2–4 ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เป็นอันตรายต่อพืช จึงสามารถนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
จากข้อมูลนี้ ดร. พิสิฐพงษ์ อินทรพงษ์และคณะ (2566) ได้ต่อยอดแนวคิดด้วยการนำน้ำเสียจากการแปรรูปมาผสมกับเศษพืชและอินทรียวัตถุในพื้นที่ เพื่อหมักเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือวัสดุปรับปรุงดิน ก่อนนำไปใช้ในแปลงเกษตร กระบวนการนี้ช่วยลดความเข้มข้นของเกลือ และเมื่อนำไปใช้จริงพบว่าช่วยให้หัวผักกาดมีความหวาน กรอบ และมีคุณภาพดีขึ้น อีกทั้งยังลดการใช้ปุ๋ยเคมีในแปลงเพาะปลูกได้
การเปลี่ยนน้ำเสียให้กลายเป็นปุ๋ยเช่นนี้ จึงเป็นตัวอย่างของการนำนวัตกรรมมาช่วยจัดการของเสียทางการเกษตรได้อย่างคุ้มค่า ทั้งช่วยลดมลพิษ เพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต และยังสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจ BCG (Bio–Circular–Green Economy) ที่มุ่งใช้ทรัพยากรชีวภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
อ้างอิง
- องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO). (2568). Family farming in Thailand. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 จาก https://www.fao.org/family-farming/countries/tha/en/
- กรมประชาสัมพันธ์. (2567). เกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture). สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 จาก https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/31/iid/406061
- Trading Economics. (2568). Employment in agriculture (% of total employment) – Thailand. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 จาก https://tradingeconomics.com/thailand/employment-in-agriculture-percent-of-total-employment-wb-data.html
- Trading Economics. (2568). Employment in industry (% of total employment) – Thailand. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 จาก https://tradingeconomics.com/thailand/employment-in-industry-percent-of-total-employment-wb-data.html
- Trading Economics. (2568). Industry value added (% of GDP) – Thailand. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 จาก https://tradingeconomics.com/thailand/industry-value-added-percent-of-gdp-wb-data.html
- สมพงษ์ จิตต์คง, และคณะ. (2565). พัฒนาการของเกษตรกรรมในสังคมไทย. วารสารสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 จาก https://so04.tci-thaijo.org/index.php/jsa-journal/article/download/260426/179688/1038391
- กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (2568). เว็บไซต์หลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 จาก https://www.moac.go.th/site-home
- ศูนย์นย์ถ่ายทอดเทคโนโลยี. (ม.ป.ป.). เอกสาร TOR โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 จาก http://clinictech.ops.go.th/online/cmo/torfile/2024821044461.pdf
- Heftiba, C. (2566). A person holding a plant in their hands [ภาพถ่าย]. Unsplash. สืบค้นเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 จาก https://unsplash.com/photos/a-person-holding-a-plant-in-their-hands-gLLrdBH0fmI
Categories
Hashtags

