เมื่อวันที่ 6 กันยายน ผมไปร่วมกิจกรรม Activity Series : CROSS CULTURE/INTERGENERATION 2025 วิชาที่โรงเรียนไทยไม่ได้สอน เวิร์กชอป Color Decode : ถอดรหัสสีในงานศิลป์และชีวิตประจำวัน ณ อาคารอเนกประสงค์ ของ พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ มิวเซียมสยาม โดยมี คุณธัญญลักษณ์ ลิ้มเกษมสถาพร (ART Teacher, MUIDS) เป็นวิทยากร และ คุณชนน์ชนก พลสิงห์ (มิวเซียมสยาม) รับหน้าที่พิธีกร
กิจกรรมดังกล่าวอธิบายรายละเอียดไว้บนหน้าประชาสัมพันธ์ของแฟนเพจเฟซบุ๊ก Museum Siam ว่า “ชวนเพื่อนที่สนใจในเฉดสีสันมาทำความรู้จักกับทฤษฎีสีในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เชื่อมโยงไปกับประวัติศาสตร์จิตรกรรมโลกและการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์จริงเกี่ยวกับพลังของสี” เหมาะสำหรับ ผู้ที่มีอายุสิบหกปีขึ้นไป และมีความสนใจศิลปะ ทั้งเชิงประวัติศาสตร์สังคม การออกแบบ แฟชั่น การตลาด หรือผู้ที่ต้องการเพิ่มความเข้าใจในเรื่องสีสันรอบตัว
หมายเหตุ “เวิร์กชอปมีกิจกรรมอันอาจทำให้เลอะสี” รวมถึงมีการทดสอบทดลองตัวอย่างพิกเม้นท์สี
และด้วยถ้อยคำตามประกาศกับคำเตือนข้างต้น ทำให้ผมสนใจลงทะเบียน
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านสี
กิจกรรมเริ่มเวลา 13.30 น. มีผู้เข้าร่วมราว 20 คน ในช่วงนี้ คุณธัญญลักษณ์ วิทยากร ได้บรรยายความเป็นมาของสีผ่านเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เมื่อหลายหมื่นปีก่อน สมัยมนุษย์ยังหาของป่าล่าสัตว์ มิได้ตั้งถิ่นฐานถาวร ไล่เรื่อยมาจนถึงกาลปัจจุบัน โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นเหมือนที่วาด
ภาพวาดบนผนังถ้ำที่เราเห็นเป็นสีแดง เกิดจากการเขียนด้วยแร่ Red Ocher หรือ ฮีมาไทต์ (Fe₂O₃) ซึ่งทนทานต่อปฏิกิริยาเคมี จึงสามารถคงสภาพได้นับหมื่นปี ขณะสีดำจากถ่านไม้ และแร่แมงกานีสไดออกไซด์ (Manganese dioxide) สีเหลือง จากแร่เกอไทต์ (Goethite) รวมทั้งสีอื่น ๆ จากรงควัตถุ (Pigment) อินทรีย์ เช่น ยางไม้ เลือด หรือพืชที่บดเป็นผงผสมกับสารยึดเกาะ (Binder) เช่นน้ำผึ้ง มักเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ทำให้สุดท้าย สีแดงจากแร่ธาตุที่เสถียรที่สุดอย่างฮีมาไทต์ จึงยังคงมองเห็นได้ (ไม่ใช่ว่าคนยุคดึกดำบรรพ์เขาหลงใหลคลั่งไคล้สีแดงเป็นพิเศษ)
และเช่นเดียวกันกับกรณีของรูปปั้นรูปสลักในวัฒนธรรมกรีกโบราณที่ปัจจุบันเราเห็นว่าเป็นประติมากรรมไร้สี ปราศจากการเติมแต่ง แท้จริงแล้ว แต่แรกสร้าง ผลงานเหล่านี้มักถูกแต้มทาด้วยสีสันอันฉูดฉาดตระการตา ซึ่งแน่นอนว่าบรรดารูปภาพจากยุคเรเนซองส์อันดูหม่นมองมัวจางก็หาได้เกิดจากรสนิยมของศิลปินด้วยไม่ แต่เป็นเพราะข้อจำกัดทางความรู้ ทุนทรัพย์ ทำให้บางครั้งศิลปินจำเป็นต้องใช้สีที่ไม่คงทน
สีในฐานะเครื่องบ่งบอกสถานะทางสังคม
ทุกครั้งทุกปีที่บริษัทแอปเปิลออกโทรศัพท์อัจฉริยะรุ่นใหม่ เรามักเห็นสีสันตัวเครื่องอันแปลกต่างจากรุ่นเดิมเพิ่มเติมเข้ามา และยิ่งรุ่นเรือธงซึ่งมีราคาแพงกว่า เป็นต้องได้เห็นเฉดสีพิเศษไม่ซ้ำใคร เรียกได้ว่า หากกลัวคนดูไม่ออกว่าฉันกำลังถือโทรศัพท์ราคาแพงรุ่นล่าสุด (เพราะรูปลักษณ์มักซ้ำเดิม) การเลือกสีที่มีเฉพาะรุ่นคือทางออก
วิธีบ่งบอกสถานะทางเศรษฐกิจสังคมผ่านสีไม่ได้เพิ่งมีในยุคปัจจุบัน แต่เป็นพฤติกรรมอันดำรงอยู่มาช้านาน เนื่องจากอดีต สีบางชนิดจัดว่าเป็นของหายาก อาทิ สีม่วงไทเรียน (Tyrian Purple) ที่จักรวรรดิโรมันสงวนไว้เฉพาะจักรพรรดิและสมาชิกราชวงศ์เท่านั้น เพราะสกัดจากของเหลวในหอยทากทะเลแถบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งต้องใช้ปริมาณมหาศาลเพื่อให้ได้เม็ดสีเพียงเล็กน้อย จึงใช้แรงงานมาก มีต้นทุนการผลิตสูง
ส่วนประเทศไทย วิทยากรเล่าว่าเราไม่มีสีที่ห้ามสามัญชนใช้ เพราะเครื่องทรงของพระมหากษัตริย์ทำจากด้ายซึ่งตีด้วยทองคำแท้จึงหายากและชาวบ้านร้านตลาดทั่วไปคงไม่มีใครคิดเอาทองไปทำเป็นเสื้อผ้า
ประเภทของสี
ก่อนเข้าร่วมเวิร์กชอป ถ้ามีคนถามว่าสีแบ่งออกเป็นกี่ประเภท ได้แก่อะไรบ้าง ในหัวของผมคงนึกถึง สีไม้ สีน้ำ สีเทียน สีน้ำมัน ฯลฯ แต่อีกวิธีหนึ่งที่ใช้แบ่งแยกประเภทคือการแบ่งตามชนิดของรงควัตถุซึ่งมีอยู่ 3 ประเภทได้แก่
1. เม็ดสีอนินทรีย์ ( INORGANIC)
คือเม็ดสีที่ได้จากแร่หินดินทรายที่ไม่มีโครงสร้างหลักเป็นคาร์บอน เช่น ฮีมาไทต์ (Hematite) ให้สีแดง หรือเกอไทต์ (Goethite) ให้สีเหลืองน้ำตาล เม็ดสีประเภทนี้ติดทนทาน สามารถคงอยู่ยาวนานนับพันปี จึงถูกใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ และใช้ในงานศิลปะ กับสถาปัตยกรรม แต่ข้อสังเกตคือโทนสีค่อนข้างจำกัด และบางชนิดอาจเป็นพิษ เช่น ตะกั่วหรือปรอท ทำให้ต้องใช้งานอย่างระมัดระวัง
2. เม็ดสีอินทรีย์ (ORGANIC)
คือเม็ดสีที่มีอะตอมของคาร์บอนเป็นโครงสร้างหลัก มักได้จากพืช เช่น คราม (Indigo) ครั่ง (Lac dye) จากสิ่งมีชีวิต เช่น คาร์ไมน์ และโคมูตร เม็ดสีอินทรีย์มีจุดเด่นคือความสดใสจัดจ้าน สามารถให้ความโปร่งและความเข้มที่เม็ดสีอนินทรีย์ทำได้ยาก อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตคือมักไม่ทนทาน ทำให้สีซีดจางง่าย จึงนิยมใช้ในงานศิลปะสิ่งทอ เครื่องสำอาง และอาหาร มากกว่างานที่ต้องการความถาวร
3. เม็ดสีสังเคราะห์ (SYNTHETIC) คือเม็ดสีที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยกระบวนการทางเคมีในห้องปฏิบัติการหรืออุตสาหกรรม เพื่อเลียนแบบหรือพัฒนาต่อยอดจากเม็ดสีธรรมชาติที่อาจหายาก ราคาแพง หรือไม่คงทน โดยเม็ดสีสังเคราะห์สามารถเป็นได้ทั้งสารประกอบอินทรีย์และอนินทรีย์ ขึ้นอยู่กับสูตรการผลิต จุดเด่นของเม็ดสีสังเคราะห์คือ ความหลากหลายของเฉดสี ความสดใส และการควบคุมคุณสมบัติได้ตามต้องการ เช่น ความทึบ ความละเอียด หรือความคงทนต่อแสงและสารเคมี ตัวอย่างที่รู้จักกันดี ได้แก่ Titanium dioxide (สีขาว) Phthalocyanine blue (สีน้ำเงิน) และ Azo pigments (สีเหลืองส้ม) เม็ดสีสังเคราะห์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในงานศิลปะ อุตสาหกรรมสีทา พลาสติก สิ่งทอ เครื่องสำอาง และอาหาร เนื่องจากให้สีที่เสถียรและสม่ำเสมอมากกว่าที่ได้จากธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม คุณภาพและความปลอดภัยขึ้นอยู่กับสูตรการผลิต บางชนิดอาจมีพิษหรือเสื่อมสภาพได้เมื่อเวลาผ่านไป
ทฤษฎีสี
หลังได้รู้จักสีผ่านประวัติศาสตร์ ก็มาถึงการเรียนรู้ทฤษฎี หรือก็คือการศึกษาว่าสีทั้งหลายทำงานร่วมกันอย่างไรและส่งผลต่ออารมณ์การรับรู้ของมนุษย์อย่างไร โดยวิทยากรและผู้ดำเนินรายการต่างคอยบอกย้ำกำชับหลายครั้งหลายคราว่าทฤษฎีคือสิ่งที่หักล้างได้ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงตายตัว ขึ้นอยู่กับบริบทสังคม ความเชื่อ ของแต่ละปัจเจกบุคคล
ยกตัวอย่างเช่น มีตอนหนึ่งของการบรรยาย วิทยากรให้ดูภาพตราสินค้าร้านอาหารขยะสองเจ้า โดยเจ้าหนึ่งใช้สีเขียวเป็นสีหลัก กับอีกเจ้าใช้สีเหลืองแดง จากนั้นถามความคิดเห็นผู้เข้าร่วมว่ามองเจ้าไหนดีต่อสุขภาพมากกว่า ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เทคะแนนให้เจ้าที่ใช้สีเขียวเป็นสีหลัก ซึ่ง (สำหรับผม) ชวนให้คิดถึงผักสดไม่ใช่ซอสรสจัดจ้านหรือมันฝรั่งทอด ทั้งที่ประเภทสินค้าจากทั้งสองร้านแทบไม่ต่างกัน
ตัวอย่างต่อมา วิทยากรเล่าถึงการทดลองชิมไอศกรีมชาไทยแล้วให้ตัดสินว่าแบบที่หนึ่งหรือสองรสชาติเข้มข้นกลมกล่อมกว่า โดยไม่ได้บอกผู้เข้าร่วมการทดลองว่าข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวของไอศกรีมทั้งสองคือสี ซึ่งผลสำรวจหลังลิ้มลองล้วนลงความเห็นตรงกันว่า ไอศกรีมชาไทยสีสันแสดส้มชัดเจนกว่านั้นมีรสชาติเข้มข้นกลมกล่อมมากกว่าด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าแม้สีไม่ส่งผลต่อลิ้นแต่มีอิทธิพลต่อจิตใจ
สีทำให้อยากอาหารได้ และทำให้ขยาดอาหารได้เช่นกัน
อีกหนึ่งตัวอย่างสนับสนุนข้อความข้างต้น วิทยากรเปิดภาพข้าวราดแกงกะหรี่สีฟ้า อันเป็นเมนูลดน้ำหนักสำหรับชาวญี่ปุ่น เนื่องจากวัฒนธรรมการกินของแดนอาทิตย์อุทัยไม่คุ้นชินต่อการมีสีฟ้าในอาหาร ตรงข้ามกับความคิดเห็นผู้เข้าร่วมกิจกรรมชาวไทยอย่างผมที่เติบโตมากับคำคมโฆษณา “คิดถึงสีฟ้าเวลาหิว” กับข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูเปียก ข้าวเหนียวมูน ฯลฯ ซึ่งใส่สีฟ้าจากดอกอัญชันลงไป ทำให้นอกจากไม่ได้รู้สึกประหลาด กลับยังยั่วให้อยากลองรับประทานดูสักคำ
ส่งท้าย
ตามกำหนด กิจกรรมควรจบเวลา 16.30 น. แต่เพราะด้านนอกห้องอเนกประสงค์มีฝนตกลงมากระหน่ำหนัก ทำให้แม้กระบวนการเสร็จสิ้นแล้ว แต่ทุกคนยังเลือกนั่งระบายสีตามโจทย์ที่ได้รับต่อ และเมื่อยังไปไหนกันไม่ได้ วิทยากรจึงชักชวนให้พวกเราร่วมแบ่งปันเบื้องหลังแนวคิดผลงานเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง
โดยรวมแล้วเวิร์กชอปนี้จะประทับติดอยู่ในจิตใจของผมไปอีกนาน (เฉกเช่นภาพเขียนสีบนผนังถ้ำ) เพราะสำหรับคนที่ปกติใช้เพียงสีขาวดำทำงานศิลปะ การได้มารู้จักกับประวัติความเป็นมาและทฤษฏี ช่วยให้รู้สึกกล้าและอยากลองเล่นกับสีมากขึ้น
อ้างอิง
Museum Siam./ (2568,/ กันยายน 8)./ #ภาพบรรยากาศกิจกรรม ACTIVITY SERIES: CROSS CULTURE/INTERGENERATION 2025 กิจกรรมเวิร์กชอป Color Decode : ถอดรหัสสีในงานศิลป์และชีวิตประจำวัน./ จาก “facebook”./ สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2568,/ จาก: https://www.facebook.com/museumsiamfan/posts/pfbid031jtfgCpK7gbf2myEJdvR3N66xNz2QAFxQKSpipKATWhDu9psXwNJJNpSBUnp5iozl
Categories
Hashtags