การประยุกต์ใช้ความรู้ในห้องเรียนเพื่อเทคโนโลยีและนวัตกรรม
Published: 4 December 2025
1 views



              อาจารย์มารุต พวงสุดรัก นักพัฒนาการศึกษา จาก ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อมาตรฐานและอุตสาหกรรม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี กล่าวถึงโครงการการประยุกต์ใช้ความรู้ในห้องเรียนเพื่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมว่า แรงบันดาลใจเกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวที่รู้สึกว่าการเรียนผ่านการฟังบรรยายหรือการอ่านหนังสือด้วยตนเองมักจะทำให้เข้าใจเนื้อหาคลาดเคลื่อน หรืออาจไม่สามารถเข้าใจธรรมชาติของเนื้อหาได้อย่างลึกซึ้ง

              “หลังเรียนจบ เมื่อผมมีโอกาสและทักษะด้านการประดิษฐ์จึงเริ่มพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่เคยเรียนมาด้วยการทดลองกับอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ และคิดว่าถ้าหากนักเรียนนักศึกษามีโอกาสเรียนรู้จากสิ่งที่จับต้องได้จริง ไม่ใช่เพียงรูปภาพในหนังสือหรืออินเทอร์เน็ต เขาน่าจะเข้าใจเนื้อหาชัดเจนขึ้น แล้วที่เคยรู้สึกว่าการเรียนในห้องเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย เขาก็จะรู้สึกสนุกที่ได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ  และสามารถเชื่อมโยงความรู้ในห้องเรียนไปสู่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันได้”

              อาจารย์มารุตยกตัวอย่างการถ่ายทอดความรู้เรื่อง ท่อปลายปิดท่อปลายเปิด และการสั่นพ้อง (Resonance) โดยใช้ขลุ่ยเป็นสื่อการสอนว่า “ในวิชาดนตรี เราจะศึกษาตัวโน้ต ท่วงทำนอง วิธีเป่า แต่ในทางวิทยาศาสตร์ คำอธิบายอย่างเดียวอาจจะไม่สามารถทำให้เด็กเข้าใจกลไกการทำงานของขลุ่ยว่าเสียงเกิดตรงไหน แล้วควบคุมเสียงอย่างไร แต่เมื่อเราเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์กับดนตรีเข้าด้วยกัน ผมคิดว่าจะทำให้เด็กเข้าใจการทำงานของอุปกรณ์ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น และอาจเป็นแนวทางให้เขาไปพัฒนานวัตกรรมใหม่ เครื่องดนตรีชนิดใหม่ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ควบคุมเสียง”

             


               กระบวนการสำคัญของโครงการ

              อาจารย์มารุตกล่าวว่า เด็กต้องได้เรียนรู้แบบมีส่วนร่วม “ผมเน้นเรื่องนี้เสมอ ไม่ว่าจะมีอุปกรณ์สาธิตหรือไม่ เด็กต้องได้ลงมือทำ” อย่างกิจกรรมในหัวข้อระบบกันสะเทือนในรถยนต์ อาจารย์มารุตมอบโจทย์ท้าทายเด็กให้ประดิษฐ์รถของเล่นที่ทนต่อแรงสะเทือนขณะวิ่ง “ทำเสร็จแล้วมาแข่งขันกัน ของใครมีประสิทธิภาพสูงสุดเป็นผู้ชนะ”


              ทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุกเหมือนเล่นเกม

              “ผมมองว่าไม่ใช่แค่เด็ก ผู้ใหญ่ก็เป็น เราชอบเล่นของเล่น ชอบความท้าทาย การแข่งขัน ผมสังเกตว่าคนส่วนใหญ่จะชอบเล่นเกม จึงตั้งคำถามว่าเกมมีดีอะไร เล่นแล้วได้อะไร ซึ่งคำตอบคือ ได้ความท้าทาย ได้แข่งขัน บางครั้งได้เรียนรู้ทักษะการทำงานเป็นหมู่คณะ ได้รู้จักร่วมมือกับผู้อื่น ซึ่งเกมเป็นสื่อที่จะใช้ในทางที่ผิดก็ได้ จะใช้ในทางที่ถูกก็ได้ ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ดังนั้นเราต้องนำจุดเด่นของเกมมาปรับใช้เพื่อนำพาให้เด็กไปสนใจสิ่งที่ดีต่อตัวเขาเอง”

              ความท้าทายของการแปลงความรู้สู่กิจกรรม

              อาจารย์มารุตกล่าวว่า ก่อนจัดกิจกรรมต้องย่อยเนื้อหาที่ซับซ้อนของเทคโนโลยีขั้นสูงมาออกมาให้เหลือเพียงหัวใจหลักหรือรากฐาน และออกแบบการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เหมาะกับช่วงวัยที่หลากหลายของเด็กและเยาวชน รวมถึงผู้ใหญ่ที่ไม่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์

              “เช่นระบบกันสะเทือนในรถยนต์ มีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องคือ สปริง การดูดซับแรง” โดยปกติการถ่ายทอดความรู้จะจบลงที่การบรรยายเนื้อหา แต่โครงการจะพาผู้เรียนไปศึกษาต่อว่าปัจจุบันองค์ความรู้ดังกล่าวสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับนวัตกรรมใดได้บ้าง


              ผลกระทบเชิงบวกของโครงการ

              อาจารย์มารุตกล่าวว่าศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์เพื่อมาตรฐานและอุตสาหกรรม คือหน่วยงานซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเป็นศูนย์วิจัยพัฒนาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เพื่อประยุกต์ใช้ในวงการวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และเป็นศูนย์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง เพื่อประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย โดยให้บริการทั้งภาครัฐและเอกชน มีส่วนในการบริการวิเคราะห์วัดละเอียด ทดสอบสมบัติทางกายภาพและชีวภาพของวัสดุให้กับหน่วยงานทั่วไป ตลอดจนการจัดอบรมสัมมนาทางวิชาการเกี่ยวกับเครื่องมือวิทยาศาสตร์ให้แก่นักเรียนทั้งมัธยมต้นและมัธยมปลาย ซึ่งปัจจุบันสถานศึกษาเหล่านี้ หลายแห่งกำลังมองหาพื้นที่ซึ่งสามารถตอบโจทย์การเรียนรู้แบบ STEM รวมถึงการเรียนรู้แบบ Active ทางศูนย์จึงจัดกิจกรรมขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการดังกล่าว

              “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีมีแนวทางการเรียนการสอนแบบ Active Learning อยู่แล้ว แต่ถ้ามาสร้างให้เด็กเข้าใจการเรียนรู้แนวทางนี้ในตอนปริญญาตรีคงช้าไป เราจึงพยายามสร้างเขาตั้งแต่ระดับมัธยมให้ได้เท่าที่เรามีโอกาส และอนาคต เด็ก ๆ ที่ได้เข้าอบรมก็อาจมาเรียนต่อกับเรา หรืออาจค้นพบตัวเองว่าอยากเรียนสาขาไหน ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเด็กรู้ตัวเองว่าชอบอะไร จะทำให้เราได้พัฒนาบุคลากรที่มีความรักความชอบในสิ่งนั้นจริง ๆ”

              นอกจากนั้น อาจารย์มารุตมองว่าการที่ประชากรของชาติมีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ดี จะทำให้สามารถอยู่ในสังคมเทคโนโลยีได้โดยมีความตระหนักรู้เท่าทัน สามารถใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ ได้อย่างถูกต้อง คุ้มค่า เต็มประสิทธิภาพ และป้องกันตัวเองได้ ไม่ถูกหลอกลวง

              “ไม่ว่าในอนาคตเขาจะเลือกทางไหน อย่างน้อยทุกคนต้องมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ดีก่อน” อาจารย์มารุตกล่าว

              

STEM

การเรียนรู้แบบ STEM คือแนวทางการศึกษาเชิงบูรณาการที่นำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์มาผสานกันเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้หลายด้านร่วมกันในการแก้ปัญหาหรือสร้างชิ้นงานจากสถานการณ์จริง แทนการเรียนแยกเป็นรายวิชาแบบเดิม จุดสำคัญของ STEM อยู่ที่การเรียนผ่านปัญหาและโครงงาน การลงมือทดลอง ออกแบบ และปรับปรุงอย่างเป็นกระบวนการ ทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้จริง


              ก้าวต่อไปของโครงการ

              การจัดกิจกรรมส่งเสริมการศึกษาให้เยาวชนและคณะบุคคลจากหลากหลายหน่วยงานเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะในอนาคต อาจารย์มารุตวางแผนว่าจะขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมถึงบุคคลทั่วไป ตามประกาศวิสัยทัศน์ของ มจธ. ที่มุ่งสู่การเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับทุกคน ทุกวัย ทุกอาชีพ และทุกสถานะทางสังคม พร้อมส่งเสริมความเท่าเทียมทางการศึกษา วิจัย และนวัตกรรมสืบไป

              อ้างอิง

              Engineeringtoday.(2568).65 ปี มจธ. ประกาศวิสัยทัศน์สู่การเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตเต็มรูปแบบ มุ่งสร้างผลกระทบต่อประชาชนและประเทศ.สืบค้น 2 ธันวาคม 2568 จาก https://www.engineeringtoday.net/lifelong-learning-university/

              สอวช.(2564).มารู้จัก ทักษะ STEM มีติดตัวทำไม? สำคัญแค่ไหนต่อการพัฒนาประเทศ?.สืบค้น 2 ธันวาคม 2568 จาก https://www.nxpo.or.th/th/8880/





Comments
To join the comment, please sign in.
Sign in
Don’t have an account? Register
Loading comments...