บรรดาเด็กจบใหม่จะเป็นผู้สมัครที่โดดเด่นในตลาดแรงงานได้อย่างไร ในเมื่อร่ำเรียนศึกษามาจากตำราเล่มเดียวกันกับเพื่อนบัณฑิตอีกนับพัน ยิ่งทุกวันนี้ที่เศรษฐกิจถดถอยจนนายจ้างไม่อยากได้คนอ่อนวัยไร้ประสบการณ์ที่ต้องคอยประคองบอกสอนแทบทุกอย่าง บริษัทน้อยใหญ่ต่างทยอยหันไปจ้างฟรีแลนซ์ที่ชำนาญการแทน ด้วยช่วยประหยัดต้นทุนลงมาก เพราะเสียแค่ค่าจ้างผลิตชิ้นงาน ไม่ต้องคอยตามรับผิดชอบสวัสดิการอื่น ๆ ลดภาระ ส่งงานจบด้วยดีถูกใจก็มอบหมายโปรเจกต์ให้กันต่อ แต่ถ้าทำงานได้ไม่ตรงที่ขอก็แค่บอกแยกทาง
โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเทคโนโลยี สังคม วัฒนธรรม ดังนั้น สมรรถนะ (Competence) จึงกลายมาเป็นปัจจัยสำคัญที่นิสิตนักศึกษาจำเป็นต้องมีควบคู่ไปกับความรู้ทางวิชาการ การเรียนในมหาวิทยาลัยไม่ได้จบแค่การเรียนหนังสือในห้องเรียนอีกต่อไป แต่ผู้เรียนต้องพัฒนาทักษะและคุณลักษณะต่าง ๆ ที่จะช่วยให้สามารถปรับตัวระหว่างทำงานร่วมกับผู้อื่น และสร้างคุณค่าในสังคมได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) ได้ตระหนักถึงความสำคัญนี้ จึงพัฒนา “กรอบสมรรถนะนักศึกษา KMUTT” หรือ “KMUTT Student QF” ขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบหลักสูตร การจัดการเรียนรู้ และการประเมินผล ที่สามารถตอบโจทย์อนาคตอันท้าทาย
แก่นสำคัญของ KMUTT QF
KMUTT Student QF เป็นกรอบสมรรถนะที่พัฒนามาจากงานวิจัยด้านทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ รวมถึงรับฟังเสียงจากอาจารย์ นักวิชาการ และภาคธุรกิจ เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์และอัตลักษณ์ของนักศึกษา KMUTT
กรอบสมรรถนะนี้มีลักษณะเป็นวงกลมที่เรียกว่า “KMUTT Competence Palette” แบ่งสมรรถนะออกเป็น 8 กลุ่มหลัก ได้ดังนี้
1. ความรู้ (Knowledge)
ประกอบด้วย
1.1 ระดับความเข้าใจ (K-Understanding)
ความสามารถในการจับใจความสำคัญของเรื่องราว โดยแสดงออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ อธิบาย สรุปใจความสำคัญ หรือ การกระทำอื่นๆ
1.2 ระดับการนำความรู้ไปใช้ (K-Applying)
ความสามารถในการนำความรู้ หลักการ กฎเกณฑ์ และวิธีดำเนินการของเรื่องที่ได้รู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ
1.3 ระดับการวิเคราะห์ (K-Analysing)
ความสามารถในการแยก จำแนก องค์ประกอบที่สลับซับซ้อนออกเป็นส่วน ๆ และมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยต่าง ๆ
1.4 ระดับการประเมินค่า (K-Evaluating)
ความสามารถในการตัดสิน ตีค่า หรือ สรุป เกี่ยวกับคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ บนพื้นฐานของเหตุผลและเกณฑ์ที่เหมาะสม
1.5 ระดับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ (K-Creating)
การนำความรู้ ทักษะ หรือแนวความคิดเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ มาหลอมรวมเพื่อสร้างเป็นสิ่งใหม่หรือสร้างทางเลือกต่าง ๆ
2. ทักษะวิชาชีพ (Professional Skills)
ความสามารถเฉพาะด้านที่สอดคล้องกับศาสตร์ของตน เช่น วิศวกรรม วิทยาศาสตร์ หรือสาขาอื่นๆ มีการเน้นความสามารถปฏิบัติและความเชี่ยวชาญที่เกิดจากการเรียนรู้เชิงประสบการณ์
3. ทักษะการคิด (Thinking Skills)
ทักษะการคิดเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และการใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 เพราะช่วยให้นักศึกษาสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ที่ซับซ้อน ตัดสินใจอย่างมีเหตุผล และพัฒนาแนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหา กรอบสมรรถนะ KMUTT จึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการคิดในหลากหลายมิติ เพื่อเตรียมผู้เรียนให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างมีประสิทธิภาพและมีวิจารณญาณ โดยในรายละเอียดสามารถขยายความเพิ่มเติมได้ 7 หัวข้อดังนี้
3.1 การคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking)
การพิจารณาตัดสินเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยไม่รีบสรุปหรือคล้อยตามความคิดเห็นของผู้อื่น แต่จะเปิดรับแนวคิดที่แตกต่างเพื่อให้เกิดมุมมองและประโยชน์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
3.2 การคิดวิเคราะห์ (Analytical Thinking)
สามารถแยกแยะสิ่งที่จะพิจารณาออกเป็นส่วนย่อยเพื่อทำความเข้าใจแต่ละส่วน รวมถึงการสืบค้นความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆ เพื่อดูว่าส่วนประกอบปลีกย่อยนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันหรือไม่อย่างไร
3.3 การคิดอย่างมีระบบ (Systemic thinking)
มีกระบวนการคิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอน คิดมองแบบภาพรวม โดยสามารถมองเห็นความเชื่อมโยงของส่วนต่าง ๆ ทั้งหมดในระบบ
3.4 การคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative thinking)
การคิดสิ่งใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม หรือมีความคิดที่หลากหลาย/การคิดหลายแง่มุม เพื่อขยายขอบเขตความคิดออกไปจากกรอบความคิดเดิมที่มีอยู่สู่ความคิดใหม่ ๆ
3.5 การคิดเชิงตรรกะ หรือ การคิดอย่างมีเหตุมีผล (Logical thinking)
สามารถคิดหาเหตุผลโดยใช้หลักฐานหรือข้ออ้างที่มีอยู่แล้ว นำมาเชื่อมโยงเป็นข้อสรุปเพื่อประกอบการแก้ปญหาหรือการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ
3.6 ทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem solving)
สามารถคิดแก้ปัญหาต่างๆ ที่พบได้อย่างเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักการ เหตุผล และข้อมูลสารสนเทศ ตลอดจนถึงการประยุกต์ความรู้มาใช้ในการแก้ไขปัญหาและมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา
3.7 ความสำนึกในความหมายที่ลุ่มลึก (Sense-making)
สามารถทำความเข้าใจนัยยะหรือความหมายที่อยู่เบื้องลึก (Meaning&Insight) และสามารถแปลความหมายในเรื่องต่าง ๆ ที่แสดงออกมาได้อย่างมีนัยสำคัญ
4. ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skills)
ประกอบด้วย
4.1 ความใฝ่รู้ (Learning orientation)
มีความสนใจใคร่เรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเอง สามารถวางแผนและรับผิดชอบการพัฒนาความรู้ ความชำนาญ แสวงหาความรู้หรือเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
4.2 ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้ (ICT literacy)
สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่หลากหลายเพื่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างเหมาะสม
4.3 ความสามารถในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากเพื่อการเรียนรู้ (Computational thinking)
สามารถวิเคราะห์ สรุป ประมวลผลข้อมูลที่มีจำนวนมาก และมีความซับซ้อนเพื่อทำความเข้าใจประเด็นที่สนใจ สามารถคัดเลือกข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากข้อมูลที่มีจำนวนมาก และมีความซับซ้อนมากเพื่อนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจและแก้ปัญหาต่าง ๆ
5. ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills)
สามารถสื่อสารภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ใช้ทักษะการพูด การฟัง การอ่าน การเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม รู้จักกาลเทศะ สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระชับได้ใจความเป็นลำดับ มีความถูกต้อง ทำให้ผู้ฟังรู้เข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้ สามารถถ่ายทอด นำเสนองานให้บุคคลทุกระดับทั้งบุคคลที่อยู่ในแวดวงวิชาการและบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงวิชาการเข้าใจได้ สามารถเลือกใช้วิธีการสื่อสาร สื่อในการนำเสนอ ที่เหมาะกับผู้ฟัง รวมถึงมีวิจารณญาณที่ดีในการฟัง
6. ทักษะการจัดการ (Management Skill)
ประกอบด้วย
6.1 การบริหารงานที่มุ่งผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมาย (Objective-based management)
มีความพยายามที่จะทำงานให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ตั้งไว้ สามารถกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์การทำงาน วางแผนงาน และมีวิธีที่ใช้ในการประเมินผลความก้าวหน้าหรือความสำเร็จของงานอย่างชัดเจน เพื่อการบริหารจัดการงานให้บรรลุผลตามเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์
6.2 การวางแผนงาน (Planning)
สามารถตั้งเป้าหมาย วางแผน ดำเนินงาน ภายใต้ข้อจำกัดของทรัพยากรและเวลา มีทักษะการจัดลำดับความสำคัญของงาน รวมทั้งสามารถคาดการณ์ถึงปัญหา ผลกระทบ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือและป้องกันได้
7. ภาวะผู้นำ (Leadership)
ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างการปฏิบัติที่ดี สามารถสื่อสารและกระตุ้นให้ทีมเกิดความร่วมมือในการคิด การลงมือทำ การพัฒนางาน ยินดีรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง พร้อมที่จะแก้ไขปรับปรุงพัฒนาตนเองหรือการทำงานของตนให้ดีขึ้นอยู่เสมอ มีความริเริ่มหรือบุกเบิกแสวงหาองค์ความรู้ หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ รู้เท่าทันสถานการณ์ มองเห็นโอกาสและความท้าทาย สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดี รู้บทบาทหน้าที่ของตนในทีม มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทีม ทราบเป้าหมาย เข้าใจ และยอมรับความแตกต่างของบุคคล ยินดีรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รวมถึงมีความสามารถในการแก้ไขข้อขัดแย้ง สามารถสื่อสารโน้มน้าวเพื่อประสานความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้
7. ความเป็นพลเมือง มจธ. (KMUTT Citizenship) ประกอบด้วย
7.1 ความรับผิดชอบและการรู้จักผิดชอบชั่วดี (Responsibility and Ethical sense)
มีจิตสำนึกที่จะประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดี รู้ผิดชอบชั่วดี ละอายต่อการทำสิ่งที่ผิด รู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น มีวินัย ตรงต่อเวลา ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และสาธารณะ ไม่ละทิ้งงานหรือปัดความรับผิดชอบ พร้อมที่จะยอมรับและจัดการกับผลที่ตามมาจากการกระทำ ทั้งผลโดยตรงและผลกระทบทางอ้อม เคารพกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ขององค์กรและสังคม ตลอดจนมีจรรยาบรรณทางวิชาการและวิชาชีพ
7.2 การปรับตัวและความยืดหยุ่น (Adaptability and Flexibility)
การไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนปิดกั้นตนเองจากสิ่งอื่น และเตรียมพร้อมที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยไม่คิดต่อต้านแต่พร้อมจะทําความเข้าในความจําเป็นของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น รวมถึงมองโลกในแง่ดี มองสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาอย่างเข้าใจ และมองว่าทุกปัญหามีทางแก้ไข
7.3 การยอมรับความแตกต่างของบุคคล (Diversity Interculturality and Internationalization)
ไม่ดูถูกทั้งตนเองและผู้อื่น ยอมรับในความแตกต่างของบุคคล ให้เกียรติผู้อื่นและสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดี รู้และเข้าใจถึงความแตกต่างทางเชื้อชาติ วัฒนธรรม (Cross-cultural) สามารถทำงานได้ทุกสภาพวัฒนธรรม
7.4 การพัฒนาตนเอง (Self-motivation)
ตระหนักถึงคุณค่าของการพัฒนาตนเอง สามารถประเมินความสามารถของตน วางแผนการพัฒนาตน และพร้อมที่จะพัฒนาตนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีลักษณะเป็นบุคคลที่สมบูรณ์
7.5 ความมุ่งมั่นในการทำงาน (Achievement orientation)
มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ซึ่งได้รับมอบหมายอย่างเต็มกำลัง มีความมุ่งมั่นให้งานสำเร็จและได้งานที่มีคุณภาพ
การนำ KMUTT QF ไปใช้จริง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น KMUTT QF ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิดบนหน้ากระดาษ แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในหลายระดับ อาทิ การออกแบบหลักสูตรเพื่อให้บัณฑิตมีสมรรถนะตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด การวางแผนการสอนโดยใช้ระดับพัฒนาการ (Level of Development) ในแต่ละสมรรถนะเป็นแนวทาง และการประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนอย่างมีรูปธรรม ด้วย rubrics และตัวชี้วัด
บัณฑิตที่โลกต้องการ
โลกยุคใหม่ต้องการคนที่มีมากกว่าแค่ “ใบปริญญา” ด้วยองค์กรส่วนใหญ่ล้วนมองหาลูกจ้างที่มีทักษะในการทำงาน มีทักษะการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น มีความคิดสร้างสรรค์ มีคุณลักษณะของการเป็นนักเรียนรู้ตลอดชีวิต และสามารถปรับตัวได้กับทุกความเปลี่ยนแปลง
เมื่อคำนึงจากทุกรายละเอียดจะเห็นว่า กรอบสมรรถนะ KMUTT QF ไม่ใช่เพียงแนวทางการผลิตบัณฑิตให้พร้อมสู่โลกของการทำงาน แต่ยังเป็นแนวทางในการสร้าง “พลเมือง” ที่มีจิตสำนึกรับผิดชอบ และสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับทั้งสังคมไทยและสังคมโลก
KMUTT ได้วางรากฐานไว้แล้ว เหลือเพียงนักศึกษาและผู้เรียนทุกคนที่จะร่วมเดินตามแนวทางนี้ เพื่อพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ พร้อมเผชิญอนาคตอันมากไปด้วยโอกาสและความท้าทาย
อ้างอิง
- เรียบเรียงจากเอกสาร “KMUTT-QF” (KMUTT Student Qualification Framework) https://regis.kmutt.ac.th/kmutt_of/KMUTT-QF.pdf
Categories
Hashtags