How to มีงานทำหลังเรียนจบ ในวันที่นายจ้างส่วนใหญ่ไม่อยากรับเด็กจบใหม่เข้าทำงาน
Published: 21 July 2025
14 views



ท่ามกลางพาดหัวข่าวอันหลากหลายและร้อนแรงในปัจจุบัน ประเด็นหนึ่งในนั้นที่สื่อสำนักต่าง ๆ หยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอย่างต่อเนื่อง คงหนีไม่พ้นเรื่องบรรดานายจ้างที่พากันเบือนหน้าหนีเด็กจบใหม่ ด้วยการระบุชัดบนประกาศรับสมัครงานว่า คุณสมบัติที่ผู้สมัครจำเป็นต้องมีคือ ‘ประสบการณ์’ ซึ่งจากประสบการณ์ของ ภูมิ หนุ่มโปรแกรมเมอร์ใหม่หมาดที่เพิ่งเริ่มงานได้ไม่ถึงเดือนดี เขาพบเห็นประกาศรับสมัครงานประเภทนี้จำนวนมาก แล้วก็งงมากว่า “ฉันจะเอาประสบการณ์จากตรงไหน”

“บางทีบอกด้วยว่ายินดีรับเด็กจบใหม่ แต่เอาประสบการณ์สองปี” ณัฐ อีกหนึ่งหนุ่มโปรแกรมเมอร์ เฟิร์ส จ็อบเบอร์ ที่เพิ่งเริ่มงานพร้อมกันกับภูมิกล่าวยกตลกร้ายที่ตนประสบ

 สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายงาน อัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 มีผู้ว่างงานประมาณ 360,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้จบการศึกษาที่ยังไม่มีประสบการณ์การทำงาน และในต่างประเทศ ผลสำรวจผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคลในสหรัฐอเมริกา โดย House International Business School ร่วมกับ Workplace Intelligence พบว่า ผู้บริหารร้อยละ 89 หลีกเลี่ยงการจ้างงานกลุ่มเด็กจบใหม่ด้วยเหตุผล 4 ประการดังนี้

1. 60% เด็กจบใหม่ขาดประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง

2. 51% ไม่มีทักษะที่เหมาะสม

3. 55% ขาดทักษะการทำงานเป็นทีม

4. 50% มีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดี

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า สิ่งที่ณัฐและภูมิบอกเล่าไม่ใช่เพียงปัญหาของปัจเจก หรือแค่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ตรงข้าม นี่คือสถานการณ์ร่วมที่เด็กจบใหม่จำนวนมากต้องเผชิญ แต่แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ทั้งสองทำเช่นไร จึงได้มาเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ในสำนักหอสมุด มจธ. มีงานทำ ทั้งที่ยังไม่ทันได้จับใบปริญญา เป็นลูกจ้างในมหาวิทยาลัยที่พวกเขาเพิ่งเรียนจบ

เส้นทางของสองโปรแกรมเมอร์หน้าใหม่

ณัฐ (ณัฐ รัตมงคล) และ ภูมิ (ศุภณัฐ ขาวงาม) ทั้งคู่เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนสมุทรสาครบูรณะ รู้จักกันตั้งแต่ ม.ต้น เรียนห้องเดียวกัน เล่นเกมออนไลน์ด้วยกัน และเพราะสนิทสนมกับคุณครูประจำชั้น ผู้สอนวิชาคอมพิวเตอร์ ทำให้วันหนึ่ง ณัฐและภูมิ ได้รับการทาบทามจากคุณครูประจำชั้นให้ไปแข่งขันเขียนโปรแกรมเกมคอมพิวเตอร์

ภูมิเล่าว่า จากการแข่งขันครั้งนั้น แม้จะมีคุณครูคอยฝึกสอนเคล็ดวิชาการเขียนโปรแกรมให้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขา “หาเองมากกว่า เรียนรู้ด้วยตัวเองมากกว่า” และนั่นจึงทำให้ภูมิรู้ว่าตัวเองเขียนโปรแกรมได้ “เขียนได้” แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่า กับเส้นทางนี้ เขา “จะไปได้จริง ๆ หรือเปล่า” กระทั่ง

ได้รับแรงบันดาลใจจากน้องชาย

“หลัง ม.ต้น ที่ผมโหวง ๆ ไม่รู้จะไปคณะไหน พอขึ้น ม.4 ผมเห็นน้องชายตัวเองไปแข่งหุ่นยนต์ ก็เลยรู้สึกสนใจ อยากจะลองแข่งหุ่นยนต์บ้าง ผมไปคุยกับครูว่าขอลองแข่งหุ่นยนต์ได้ไหม ผมก็เลยได้ไป เริ่มแข่งตอน ม.ปลาย เป็นเวทีแข่งขันหุ่นยนต์ซูโม่ครั้งแรก น่าจะแข่งที่เซียร์ รังสิต แข่งในสนามวงกลมเหมือนสนามซูโม่ แต่เอารถเหล็กมาชนกัน ชน ๆ ๆ ยังไงก็ได้ให้รถอีกคันออกไปจากสนาม” นั่นคือตอนที่ภูมิเริ่มสนใจการเขียนโปรแกรมอย่างจริงจัง

ส่วน ณัฐ แรงบันดาลใจให้เลือกเดินบนถนนสายเดียวกันนี้ ไม่ได้เกิดจากความหลงใหลในเทคโนโลยีเช่นภูมิ ทว่า เกิดจากช่วงใกล้เรียนจบ “ทางบ้านค่อนข้างมีปัญหาเรื่องการเงิน แล้วตอนนั้นมีวิชาแนะแนว พี่ ๆ มาแนะแนวที่โรงเรียน มาบอกว่า ที่นี่ (มจธ.) ถ้าไปเรียนจะมีทุนให้ แต่ว่าหลักสูตรที่เรียนจะไม่ได้เริ่มเรียนที่บางมดเลย ต้องไปเรียนที่ราชบุรีก่อน เป็นโครงการชื่อว่า Residential College ให้เราไปเรียนที่ราชบุรีสองปี ไปทดลองระบบการศึกษา ทดลองอะไรใหม่ ๆ พอปีสามปีสี่ค่อยมาเรียนที่บางมด เราก็เลยรู้สึกว่าถ้าไป เราก็น่าจะมีทุนช่วยแบ่งเบาทางบ้านได้ แล้วก็คิดว่าเรียนสายนี้เราทำได้อยู่แล้ว” แต่ที่มั่นใจไม่ใช่เพราะเก่งมาแต่เกิด “จริง ๆ ผมต้องบอกก่อนว่า ผมเป็นคนที่เรียนคณิตไม่เก่ง ฟิสิกส์ไม่ได้ เคมีนี่แย่เลย ลงเหวไปเลย แต่อย่างนึงที่ผมมีสู้คนอื่นได้ก็คือความขยัน เพราะว่าผมเป็นคนหัวช้า เวลาจะทำอะไรก็ต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นสองสามเท่า มันเคยมีครั้งนึง ผมสอบตกคณิตติดต่อกัน สอบย่อยนะครับ สมมุติมีสามครั้งก็ตกสามครั้ง คนอื่นกลับบ้านนอนเล่นเกมกัน ผมต้องอยู่สอบซ่อม ก็เลยคิดว่าทำไมเราถึงสอบตก ทำไมเราถึงทำไม่ได้ ทั้งที่คนอื่นเขาทำได้ แล้วเหมือนมีความคิดจุดประกายเล็ก ๆ ว่าเราอยากพัฒนาตัวเองจัง ก็เลยเริ่มทำการบ้านเอง แล้วก็เรียนรู้จากตรงนั้น ไม่เข้าใจอะไรก็ถามเพื่อน ให้เพื่อนช่วยสอน ถามครู ให้ครูช่วย แล้วปรากฏว่ามันค่อย ๆ พัฒนาขึ้น คะแนนเริ่มดีขึ้น จากเคยสอบตกก็ไม่ตกแล้ว แล้วจบออกมาเกรดก็ค่อนข้างดี สวยงาม”

ฟังดูแม้เหตุผลจะต่าง แต่ทั้งสองตัดสินใจเลือกหนทางเดียวกัน หลังยื่นแฟ้มสะสมงานเพื่อสมัครโครงการ Residential College โดยที่ไม่ได้บอกกล่าวกับอีกฝ่าย “พอวันประกาศผล” ณัฐเล่า “ปรากฏว่าอยู่ด้วยกันเฉยเลย”


เส้นชัยที่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

หลังเข้าเรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีจนล่วงสู่ปีการศึกษาที่ 4 ก็ได้เวลาที่พวกเขาต้องทำโปรเจกต์จบ ภูมิเล่าว่าการตัดสินใจเลือกหัวข้อของเขา ส่งผลให้เขาได้งานเร็ว เนื่องจาก โครงการที่พัฒนาสอดคล้องกับเนื้องานและเป็นการร่วมมือกันโดยตรงกับสำนักหอสมุด

“โปรเจกต์ของผมเกี่ยวกับการแนะนำหนังสือโดยใช้ เอไอ (AI) ครับ” ภูมิอธิบาย “ระบบนี้จะอยู่ในตัว ไลน์ แอปพลิเคชัน (line application) ซึ่งเราสามารถคุยกับ แชทบอต (Chatbot) ในนั้นได้เลย ให้เขาแนะนำหนังสือเรามา เอไอจะคอยแนะนำหนังสือตามที่ผู้ใช้ป้อน พรอมต์ (Prompt) ลงไป โดยรายชื่อหนังสือก็จะมาจากฐานข้อมูลหอสมุดนี่แหละครับ”

ส่วนณัฐ แม้จะไม่ใช่โปรเจกต์ที่ทำร่วมกับสำนักหอสมุดเช่นภูมิ แต่ก็นับว่ามีความเชื่อมโยง และสามารถนำมาส่งเสริมศักยภาพการให้บริการของสำนักหอสมุดได้ “ผมเลือกหัวข้อเกี่ยวกับ อารมณ์” ขยายความเพิ่มเติมคือ “การวิเคราะห์อารมณ์ความรู้สึกจากข้อความ จากตัวหนังสือ เรานํา แมชชีนเลิร์นนิ่ง โมเดล (machine learning model) มาใช้สร้าง ‘คำแนะนำ’ โดยการศึกษาตัว ‘อารมณ์’ ใน ‘ข้อความ’ ของมนุษย์ครับ แล้วในหอสมุดเขาก็มีการเก็บความคิดเห็นผู้ใช้ใช่ไหมครับ ตอนสัมภาษณ์งาน พี่ ๆ เขาก็เห็นว่าการวิเคราะห์ตรงนี้ อาจจะเอาเข้ามาใช้กับหอสมุดเราได้”


แข็งแกร่งทางวิชาการยังไม่พอ แต่ต้องมีความพร้อมด้านซอฟต์สกิล

เมื่อได้พูดคุยกับณัฐและภูมิในประเด็นการศึกษา ทำให้สิ้นกังขาเรื่ององค์ความรู้ของทั้งคู่ กระนั้น กำแพงอีกชั้นที่ขวางกั้นระหว่างกลุ่มคนจบใหม่กับงาน ก็คือคำปรามาสว่าพวกเขาขาดทักษะทางสังคม

จริงไหม

ณัฐกล่าว “หนึ่งเรื่องที่ผมได้” จากการเรียนที่ มจธ. “คือสังคม ผมเรียน วิชา General Education เกี่ยวกับ leadership เขาจะให้แบ่งกลุ่ม แล้วผลัดกันเป็นหัวหน้าทีมในแต่ละสัปดาห์ เราเจอกับคนหลายประเภท ทำงานกับทั้งคนที่ขยัน ทำงานกับคนที่เราต้องนําก่อนเขาถึงจะตาม คนที่ถ้าเราไม่พูดไม่ทำอะไร เขาก็ไม่ทำอะไรเลย อันนี้คือการทำงานเป็นทีม ซึ่งคนสองสามประเภทนี้ ทำให้เรารู้ว่าเราต้องทำงานอยู่หลายบทบาท ไม่ว่าจะเป็นผู้นํา ผู้ตาม คนคิด คนคอยเสนออะไรก็ตามที่เกี่ยวกับงานออกมา ผมค่อนข้างได้ทักษะความเป็นผู้นําเยอะมากในส่วนนี้ ทำให้กล้าแสดงออก พอไปเจอสังคมที่ทำงานเป็นระบบระเบียบ หัวหน้าคุมลูกน้อง ลูกน้องเสนอความคิดเห็นได้ เมื่อเราเห็นตัวเองในสองบทบาทนี้มาแล้ว ไปฝึกงานจริงก็ปรับตัวง่าย”

ภูมิเสริมว่า “เรื่องสังคมในมหาวิทยาลัยค่อนข้างส่งผลต่อการทำงาน สำหรับผม มองว่าถ้าสมมุติมีองค์กรหนึ่ง เราเข้าไปแล้วปรับตัวกับเขาไม่ได้ มันเหมือนปิดโอกาสตัวเองครับ เหมือนเข้ากับเพื่อนไม่ได้ก็ทำงานร่วมกันไม่ได้ ซึ่งทำให้เราลําบาก เขาไม่ลําบากหรอก แต่เราลําบากแน่ครับ เพราะฉะนั้น การที่เราปรับตัวให้เข้ากับองค์กรทุกรูปแบบได้เป็นเรื่องดีมาก สำคัญมากครับ ผมว่าสำคัญสำหรับทุก ๆ เจน ทุก ๆ คนเลย อย่างผมเองค่อนข้างยืดหยุ่นมาก ค่อนข้างคล่องตัวมาก ปรับได้กับทุกบทบาท อาจจะไม่เด่นด้านการเป็นผู้นำเท่าณัฐ แต่ผมปรับตัวไปตามแต่ละคนได้ เรื่องการมีสัมมาคารวะก็เป็นส่วนหนึ่งครับ เก่งอาจจะส่วนหนึ่ง ผมว่าคนเก่งทุกบริษัทอาจจะต้องการอยู่แล้ว แต่ว่าคนเก่งที่ปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ โห ผมว่าบริษัทต้องการมากกว่าครับ”

ณัฐ “เมื่อก่อนผมก็เป็นคน อินโทรเวิร์ท (introvert) นะ เราไม่เข้าสังคม แค่คิดว่าเราทำได้ เราก็ไปของเราได้ ไม่ต้องสนใจคนอื่น แต่พอเริ่มโตมาก็รู้สึกว่า ซอฟต์สกิล (Soft skills) สำคัญมาก อันดับหนึ่งเลย ยิ่งกว่าความเก่งอีก ผมเคยมีเพื่อนเก่งมากเลย เก่งแบบปีศาจ แต่พอทำงานกลุ่มด้วยแล้วรู้สึกว่า ทําไมเราตกผลึกอะไรจากความเก่งของเขาไม่ได้เลย เหมือนกับเขาไปได้ตัวคนเดียว ถามว่าคนเก่งโดยไม่มีซอฟต์สกิลเขาไปได้ไหม เขาไปได้อยู่แล้ว แต่มันต้องโดดเด่นมากจริง ๆ เขาถึงจะทำแบบนั้นได้”


แต่ทำไมเด็กจบใหม่อีกหลายคนที่เพียบพร้อมในทักษะทั้งสองด้าน จึงยังหางานไม่ได้

ณัฐ “บางทีกดดันตัวเองมากก็อาจจะไม่ใช่ทางที่ดีเสมอไป ก็อาจค่อย ๆ ฝึกสกิลไป การที่เราสมัครงานแล้วเขาไม่รับ ไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่ง อาจแค่สกิลไม่ตรงเฉย ๆ”

ภูมิ “บางทีขึ้นอยู่กับโอกาสด้วยครับ”

ณัฐ “ใช่ บางคนอาจจะไม่เก่ง แต่โอกาสเขามาไวกว่า บางคนเก่ง แต่อาจจะยังไม่มีงานเลยก็ได้”


ใช่ ไม่มีหรอกสูตรสำเร็จที่เดินตามแล้วจะได้งานทำ ของแบบนั้นอย่างมากก็เป็นแค่คำโฆษณา หากจักรวาลมีทางลัดดังว่า โลกนี้คงปราศจากปัญหาเด็กจบใหม่ไร้งานทำ


อยากฝากอะไรถึงน้อง ๆ ที่กำลังเริ่มต้นชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยบ้าง

ภูมิ “ผมขอสั้น ๆ เลยดีกว่าครับ ผมอยากจะบอกน้องว่า ทำกิจกรรมให้เยอะ เรียนให้หนัก แล้วก็เล่น ให้เยอะเช่นกันครับผม ไม่ใช่แค่นั่งเรียนอย่างเดียว แต่ว่าเราต้องมีส่วนร่วมกับกิจกรรมด้วย เพราะการที่เรามี คอนเน็กชั่น (Connection) เยอะ ๆ มันจะดีต่อตัวเรามาก”

ณัฐ “ผมอยากแนะนําว่า เราต้องเลือกเข้าสังคมดี ๆ ครับ แล้วมันจะพาเราไปในทางที่ดี สังคมนี่แหละ คือสิ่งที่บางที กำหนดได้เลยว่า ตัวเราจะเป็นอย่างไรในอนาคต”


อนาคตที่ถูกกำหนดโดยสังคม

จากเด็กหัวช้าขาประจำการสอบซ่อม เมื่อไม่ยอมย่อท้อถอนใจ จึงเกิดประกายทางความคิด พลิกมาขยันตั้งตัวใหม่ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากเพื่อน จากครู กระทั่ง ณัฐ ก็พัฒนาตัวเองขึ้นมาได้ เปลี่ยนกลายจากไม่เอาไหน สู่นักเรียนเกรดเฉลี่ยสูง ส่วนภูมิ ด้วยมีน้องชายเป็นแบบอย่าง พร้อมโอกาสจากโรงเรียนให้เขาได้ทำความรู้จักตัวเองอีกครั้ง ผ่านสนามการแข่งขันหุ่นยนต์ จึงสามารถตอบคำถามค้างคาใจ ถึงความชอบความใช่ที่มีต่อวิชาเขียนโปรแกรม ทั้งสองตัดสินใจเข้าศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งสถานที่แห่งนี้ นอกจากเป็นส่วนสำคัญที่ต่อเติมขยายเสริมปัญญา อีกบทบาท ยังเป็นสถานบ่มเพาะอุปนิสัย ทักษะชีวิต มารยาททางสังคม และบทสรุปสุดท้าย ก็ได้กลายเป็นสถานที่ทำงานแห่งแรกของพวกเขา

ใช่ สังคมกำหนดอนาคตคนเราได้ หล่อหลอมให้ใครต่อใครนอบน้อมหรือกระด้าง เปิดกว้าง หรือคับแคบ เป็นมิตร หรือ นิสัยแย่...

ว่าแต่

ณ วันนี้บรรดาเด็กจบใหม่ พวกเขากำลังอยู่ในสังคมแบบไหนกัน สังคมแบบที่สร้างลูกหลานให้ไร้คุณภาพ หรือแค่สังคมที่ตีตราปิดโอกาสคนรุ่นใหม่

คำตอบย่อมมีอยู่ในใจของใครแต่ละคน





อ้างอิง

  1. สภาพัฒน์ ห่วงเด็กจบใหม่หางานยาก มองขาดประสบการณ์ | ย่อโลกเศรษฐกิจ 9 มิ.ย. 68
  2. App ที่วิเคราะห์ความรู้สึกสำหรับผู้รักการท่องเที่ยว
  3. Generative AI for Library's Recommendation

Categories

Comments
To join the comment, please sign in.
Sign in
Don’t have an account? Register
Loading comments...