บทความทัศนาสัญจรครั้งที่ 1 องค์ความรู้ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งทรงผนวชพระองค์ทรงเรียนรู้อะไรบ้างมีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างไร
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) เป็นกษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศไทยทั้งด้านการปกครอง วัฒนธรรม และการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติ หนึ่งในช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือช่วงเวลาที่พระองค์ทรงผนวช การที่ทรงอยู่ในสมณเพศทำให้พระองค์ได้รับความรู้ทางด้านศาสนา วัฒนธรรม และวิชาการต่างๆ ซึ่งพระองค์ได้ใช้เป็นฐานในการพัฒนาประเทศหลังจากทรงขึ้นครองราชย์
นอกจากการเรียนรู้ในช่วงทรงผนวช พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับนานาชาติ การรับเทคโนโลยี ความรู้ และวัฒนธรรมจากต่างประเทศได้กลายเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสยามให้ทันสมัย การเดินทางไปเยือนสถานที่ต่าง ๆ ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้พระองค์สามารถนำบทเรียนจากการพบปะกับชาวต่างชาติกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก
การเรียนรู้จากการทรงผนวช
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชเมื่อพระชนมายุ 20 พรรษา และทรงอยู่ในสมณเพศนานถึง 27 ปี ระหว่างนั้นพระองค์ทรงศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้ง และยังทรงศึกษาในด้านต่างๆ เช่น ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษและภาษาบาลี พระองค์ทรงสนใจในความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และภูมิศาสตร์เป็นพิเศษ ซึ่งในยุคนั้นความรู้เหล่านี้ยังไม่แพร่หลายในสยามมากนัก แต่การที่พระองค์ทรงศึกษาและสั่งสมความรู้ในหลายแขนงนี้ ได้เตรียมพระองค์ให้พร้อมสำหรับการขึ้นครองราชย์และทำให้สยามสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมได้อย่างดี
อีกหนึ่งการเรียนรู้ที่สำคัญในช่วงที่ทรงผนวช คือการเรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมและการสื่อสารกับพระสงฆ์ในลัทธิต่าง ๆ พระองค์ทรงมีความสนใจที่จะสร้างความสัมพันธ์และความเข้าใจระหว่างลัทธิต่างๆ ทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งสิ่งนี้ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างสายสัมพันธ์กับต่างชาติหลังจากพระองค์ขึ้นครองราชย์
ความสัมพันธ์ทางการทูต
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ริเริ่มการเปิดประตูรับชาติตะวันตกสู่สยาม หลังจากทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษในปี พ.ศ. 2398 ซึ่งเปิดโอกาสให้การค้าระหว่างสยามกับชาติตะวันตกเติบโตอย่างรวดเร็ว สนธิสัญญานี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการเปิดประเทศสู่โลกภายนอก ทำให้สยามไม่ตกอยู่ภายใต้การล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก
นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงมีการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาค เช่น ญวน (เวียดนาม) และเขมร (กัมพูชา) ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นแคว้นที่มีความสำคัญทางการทูต การสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านนี้ไม่เพียงแต่ทำให้สยามมีความมั่นคงทางการเมือง แต่ยังเป็นการเสริมสร้างเส้นทางการค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ความสัมพันธ์กับชาวต่างชาติไม่ได้จำกัดเพียงชาติในยุโรปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชุมชนต่างชาติที่ตั้งรกรากอยู่ในสยาม เช่น ชาวโปรตุเกส เขมร และญวน ที่ตั้งถิ่นฐานในพื้นที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น บริเวณวัดราชาธิราชและวัดราชผาติการาม ชุมชนเหล่านี้มีบทบาทในการสร้างสรรค์ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างสยามกับต่างชาติ
ชุมชนเขมร โปรตุเกส และญวน: บทบาททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
พื้นที่ใกล้เคียงวัดราชาธิราชและวัดราชผาติการามเป็นชุมชนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และเป็นที่ตั้งของชุมชนต่างชาติที่มีบทบาทสำคัญในยุคของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ชาวเขมร ญวน และโปรตุเกสในพื้นที่นี้มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ศาสนา วัฒนธรรม และการค้า
ชุมชนเขมร เป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญในสยามมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ชาวเขมรที่อาศัยในกรุงเทพฯ มักจะเป็นชาวพุทธที่มีความใกล้ชิดกับวัดวาอาราม การติดต่อกับชาวเขมรที่นับถือศาสนาพุทธทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านศาสนาและวัฒนธรรม การร่วมมือระหว่างสยามและเขมรในเรื่องการเผยแพร่พระพุทธศาสนาและการรักษาความสัมพันธ์ทางการเมืองในภูมิภาคยังคงมีความสำคัญต่อความมั่นคงของสยาม
ชุมชนโปรตุเกส ถือเป็นกลุ่มชาติพันธุ์จากยุโรปกลุ่มแรกที่เข้ามามีบทบาทในสยาม ชาวโปรตุเกสมีบทบาททางการทูตและการค้าตั้งแต่สมัยอยุธยา และยังคงมีอิทธิพลต่อไปในกรุงเทพฯ ในช่วงรัชกาลที่ 4 ชาวโปรตุเกสในสยามส่วนใหญ่เป็นคริสตัง พวกเขามีบทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและการสื่อสารระหว่างสยามกับประเทศในยุโรป นอกจากนี้ ชาวโปรตุเกสยังมีส่วนร่วมในวงการการแพทย์และการทหารในสยาม ซึ่งทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและความรู้ใหม่ๆ
ชุมชนญวน หรือชาวเวียดนามที่อาศัยอยู่ในสยามมีบทบาททางการเมืองและศาสนาที่สำคัญในช่วงรัชกาลที่ 4 ชาวญวนในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นชาวคาทอลิกที่หนีภัยทางศาสนาจากเวียดนาม ชุมชนญวนในพื้นที่ใกล้วัดราชาภิรมย์มีบทบาทในการส่งเสริมการเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกในสยาม และยังเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการเมืองและสถานการณ์ในเวียดนามซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญของสยาม
การก่อตั้งธรรมยุติกนิกาย และบทบาทของมหานิกายในช่วงรัชกาลที่ 4 ถึง รัชกาลที่ 5
หนึ่งในประเด็นสำคัญทางศาสนาที่เกิดขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 คือการก่อตั้งธรรมยุติกนิกายและการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างธรรมยุติกนิกายกับมหานิกาย สองนิกายนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาและการปฏิรูปพระศาสนาในยุคนั้น
ความเป็นมาของธรรมยุติกนิกาย
ธรรมยุติกนิกาย (นิกายธรรมยุต) ก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์ ขณะที่พระองค์ยังทรงผนวชในฐานะพระวชิรญาณภิกขุ การก่อตั้งนิกายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูพระธรรมวินัยและการปฏิบัติของสงฆ์ให้ถูกต้องตามหลักคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า เนื่องจากในสมัยนั้น การปฏิบัติของสงฆ์ในมหานิกายมีการผสมผสานประเพณีท้องถิ่น ซึ่งทำให้การปฏิบัติบางประการเบี่ยงเบนไปจากหลักคำสอนดั้งเดิม
พระวชิรญาณภิกขุทรงเห็นความจำเป็นในการปฏิรูปคณะสงฆ์เพื่อรักษาพระธรรมวินัยให้เคร่งครัดตามพระไตรปิฎก พระองค์จึงเริ่มรวบรวมพระสงฆ์ที่มีความเห็นพ้องต้องกันในการปฏิบัติที่เข้มงวดตามหลักคำสอนเดิม จนก่อตั้งเป็นธรรมยุติกนิกายขึ้นในปี พ.ศ. 2372
หลักการและการปฏิบัติของธรรมยุติกนิกาย
ธรรมยุติกนิกายเน้นการปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัด โดยเฉพาะในเรื่องของพระวินัยและการรักษาศีลอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังเน้นการปฏิบัติสมาธิภาวนาและการศึกษาในด้านพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างละเอียด พระสงฆ์ในธรรมยุติกนิกายมักจะได้รับการฝึกฝนในเรื่องของการสวดมนต์ที่ถูกต้องตามแบบแผนดั้งเดิม การบิณฑบาต และการเคร่งครัดในการประพฤติปฏิบัติที่สอดคล้องกับพระวินัย
ธรรมยุติกนิกายได้รับการยอมรับและสนับสนุนจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ธรรมยุติกนิกายเป็นนิกายหลักในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในราชสำนักและในหมู่พระสงฆ์ชั้นสูง
ความสัมพันธ์กับมหานิกาย
แม้ว่าธรรมยุติกนิกายจะเน้นการปฏิบัติที่เคร่งครัดและแตกต่างจากมหานิกาย แต่ทั้งสองนิกายยังคงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มหานิกายเป็นนิกายที่มีพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในประเทศ ประชาชนทั่วไปในสมัยนั้นมักจะรู้จักและเคารพในพระสงฆ์มหานิกายซึ่งมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับชุมชนท้องถิ่น
ในช่วงรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพยายามประสานความสัมพันธ์ระหว่างธรรมยุติกนิกายและมหานิกาย โดยพระองค์ทรงเห็นว่าทั้งสองนิกายสามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้การปกครองของรัฐ และไม่ควรมีความขัดแย้ง พระองค์ทรงริเริ่มการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ให้มีความเป็นเอกภาพมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่การตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (พ.ศ. 2445) พระราชบัญญัตินี้กำหนดโครงสร้างการปกครองสงฆ์ให้มีลำดับขั้นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นธรรมยุติกนิกายหรือมหานิกายก็ต้องอยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน ทำให้การบริหารงานด้านศาสนามีความเป็นระเบียบมากขึ้น
บทบาทของมหานิกายในช่วงรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5
แม้ว่าธรรมยุติกนิกายจะได้รับความสนับสนุนจากราชสำนัก แต่มหานิกายยังคงมีบทบาทสำคัญในสังคมไทย โดยเฉพาะในชุมชนท้องถิ่น พระสงฆ์มหานิกายมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับชาวบ้าน และยังคงเป็นที่พึ่งทางจิตใจของประชาชน พระสงฆ์มหานิกายหลายรูปมีบทบาทในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา การศึกษาพระธรรมคำสอน และการบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม
ในช่วงรัชกาลที่ 5 มีการส่งเสริมการศึกษาของพระสงฆ์ทั้งธรรมยุติกนิกายและมหานิกายโดยเท่าเทียมกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งโรงเรียนและสถาบันการศึกษาเพื่อฝึกฝนพระสงฆ์ทั้งสองนิกาย การศึกษาในสมัยนั้นเน้นทั้งด้านปริยัติธรรม (การศึกษาพระธรรมคำสอน) และด้านสมถภาวนา (การปฏิบัติสมาธิภาวนา) พระสงฆ์ทั้งสองนิกายจึงมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองและเผยแพร่ศาสนาได้อย่างกว้างขวาง
ภัทรกร คุณเจริญ 64130500063
Categories
Hashtags