โอกาสใหม่ในเงามือเก่า: วิพากษ์แร่หายากกับวาทกรรมการพัฒนาประเทศไทย
เดือนตุลาคม 2568 ข่าวการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการสำรวจและพัฒนา “แหล่งแร่หายาก” (Rare Earth Elements: REEs) ได้จุดประกายความหวังใหม่ทางเศรษฐกิจของไทย ทว่าเบื้องหลัง "โอกาสใหม่" ที่เปล่งประกายด้วยภาษาทางการทูต กลับซ่อน "เงามือเก่า" เงาของโครงสร้างอำนาจ ทรัพยากร และผลประโยชน์ที่อาจเปลี่ยนธรรมชาติและอนาคตของไทยให้กลายเป็นสนามแข่งขันของภูมิรัฐศาสตร์พลังงานโลกอีกครั้ง
แร่หายากคืออะไร: นิยามที่ลวงตาและต้นทุนที่ซ่อนเร้น
แม้ชื่อจะบ่งบอกว่า “หายาก” แต่ในทางธรณีวิทยาแล้ว REEs ไม่ได้หายากในธรรมชาติเท่ากับการ “หายากในการสกัดและทำให้บริสุทธิ์” กลุ่มโลหะ 17 ชนิดนี้ อาทิ แลนทานัม, ซีเรียม, นีโอไดเมียม และอิตเทรียม (Y) ล้วนมีคุณสมบัติพิเศษที่จำเป็นต่อโลกสมัยใหม่
• แม่เหล็กแรงสูง: หัวใจสำคัญในมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม
• การเรืองแสง: ส่วนประกอบหลักในจอภาพ สมาร์ตโฟน และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
• ตัวเร่งปฏิกิริยา: มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงาน
ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ REEs จึงถูกขนานนามว่าเป็น "เส้นเลือดใหม่ของเทคโนโลยีสีเขียว" ซึ่งอยู่เบื้องหลังทุกอุปกรณ์ที่ขับเคลื่อนโลกด้วยพลังงานสะอาด ทว่าในทางเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม แร่เหล่านี้กลับ “หายาก” ในแง่ที่ว่ากระบวนการสกัดต้องใช้พลังงานมหาศาล สารเคมีจำนวนมาก และก่อให้เกิดการปนเปื้อนในน้ำและดินอย่างรุนแรง หากปราศจากเทคโนโลยีควบคุมที่ดีพอและกฎเกณฑ์ที่รัดกุม ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่ตามมาอาจประเมินค่ามิได้
ปัจจุบัน จีนครองตำแหน่งผู้ผลิตแร่หายากกว่า 80% ของตลาดโลก ทำให้ประเทศอื่นต้องพึ่งพิงอย่างมากในห่วงโซ่การผลิต ณ จุดนี้เองที่ “แร่” ได้แปรสภาพเป็น “อำนาจ” และ “เครื่องมือต่อรอง” ทางภูมิรัฐศาสตร์
1. แร่หายากในโลกพลังงานสะอาด: เศรษฐกิจสีเขียวที่อาจไม่ไร้มลทิน
รายงานของ International Energy Agency ชี้ให้เห็นถึงภาวะ "การขาดแคลนทรัพยากรสีเขียว" (green scarcity) ทั่วโลก แม้เป้าหมายคือการลดคาร์บอน แต่ความต้องการโลหะสำคัญอย่างลิเทียม นิกเกิล และแร่หายากกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งคันอาจต้องใช้แร่หายากมากกว่า 10 กิโลกรัม และกังหันลมหนึ่งต้นใช้มากกว่า 300 กิโลกรัม ทำให้เหมืองกลายเป็น "หัวใจของพลังงานสะอาด"
คำถามเชิงวิพากษ์ที่สำคัญคือ เมื่ออุตสาหกรรมสะอาดต้องอาศัยการขุดทรัพยากรในปริมาณมหาศาล ระบบเศรษฐกิจสีเขียวนี้กำลังสร้าง "พลังงานสะอาด" จริงหรือ หรือเป็นเพียง "ทุนนิยมแบบเดิมในเสื้อผ้าใหม่" (green capitalism) ที่ยังคงขับเคลื่อนด้วยการแสวงหาทรัพยากรอย่างไม่สิ้นสุดเช่นเดียวกับยุคฟอสซิล และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น โลกกำลังสร้าง “พลังงานสะอาด” หรือเพียงแค่ “โครงสร้างใหม่ของการขุด” ที่ย้ายมลพิษและผลกระทบจากซีกโลกพัฒนาไปสู่ซีกโลกกำลังพัฒนา
สำหรับประเทศไทย การตัดสินใจเข้าสู่ตลาดแร่หายากจึงต้องไม่มองแค่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องคำนึงถึงระบบนิเวศและสุขภาวะของประชาชนเป็นหลัก เพราะมลพิษจากโลหะหนักและสารเคมีจากการสกัดแร่ อาจย้อนกลับมาเป็นต้นทุนสุขภาพของชาติที่ไม่อาจประเมินค่าได้
2. ไทยในสมรภูมิทรัพยากร: เมื่อเศรษฐกิจเชื่อมโยงกับอำนาจ
ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ แร่หายากมีความสำคัญไม่ต่างจากน้ำมันในศตวรรษที่ 20 มันคือทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่สามารถกำหนดอำนาจและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้ การที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาร่วมมือกับไทยสะท้อนถึงความพยายามในการสร้าง "พันธมิตรทางทรัพยากร" เพื่อคานอิทธิพลของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่คำถามสำคัญที่ไทยต้องเผชิญคือ เราจะยืนอยู่ตรงไหนในเกมอำนาจระดับโลกนี้ ในฐานะ "ผู้เล่นที่มีอำนาจต่อรอง" ที่สามารถกำหนดเงื่อนไข หรือเป็นเพียง "แหล่งวัตถุดิบราคาถูก" ที่ถูกดึงเข้าสู่ห่วงโซ่คุณค่าที่ควบคุมโดยมหาอำนาจ การแลกเปลี่ยนทรัพยากรกับเทคโนโลยี หากไม่มีข้อตกลงที่เป็นธรรมและเท่าเทียม อาจนำไปสู่สิ่งที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่า asymmetric interdependence หรือ "ความพึ่งพาที่ไม่สมดุล" ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ในทางเศรษฐกิจ มูลค่าตลาดแร่หายากอาจสูงถึง 15,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีภายในทศวรรษหน้า แต่ในทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ผลกระทบจากการทำเหมืองเพียงแห่งเดียวอาจทำลายพื้นที่ป่า แหล่งน้ำ และสุขอนามัยของประชาชนในพื้นที่เป็นวงกว้าง นี่คือสมการที่รัฐบาลไทยต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง "ผลประโยชน์รวมระดับประเทศ" ที่อาจเป็นเพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจ กับ "สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในพื้นที่" ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง
3. รัฐ–ทุน–ชุมชน: โครงสร้างอำนาจที่ไม่สมดุลที่ซ้ำรอย
ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในการจัดการทรัพยากรแบบรวมศูนย์ ซึ่งกฎหมายส่วนใหญ่ให้อำนาจการอนุมัติอยู่ที่ส่วนกลาง ขณะที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบกลับมีส่วนร่วมน้อยมาก กรณีแร่หายากนี้อาจเป็นการตอกย้ำ "การเมืองของการแย่งชิงทรัพยากร" ที่รัฐและทุนร่วมกันกำหนดชะตาของชุมชน โดยที่ชุมชนแทบไม่มีสิทธิ์มีเสียงหรืออำนาจในการต่อรองเลย หากรัฐยังคงใช้โมเดลการพัฒนาแบบ extractive politics ที่มุ่งเน้นการดึงทรัพยากรเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะสั้น การเปลี่ยนผ่านของไทยก็จะเป็นเพียงการเปลี่ยน "สินค้าหลัก" จากข้าว ยางพารา หรือน้ำมัน ไปเป็นแร่หายาก โดยที่ "ระบบหลัก" ของประเทศ อันได้แก่ โครงสร้างอำนาจ การกระจายผลประโยชน์ และการคุ้มครองสิทธิ กลับยังคงเดิม ซึ่งไม่ได้นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
4. เงามืดของความร่วมมือ: เส้นแบ่งระหว่างความช่วยเหลือและการครอบงำ
ข้อตกลงระหว่างไทย-สหรัฐฯ อาจถูกนำเสนอด้วยถ้อยคำทางการทูตว่า "ความร่วมมือเพื่ออนาคตสะอาด" แต่ในเชิงโครงสร้างอำนาจ นี่อาจเป็นการต่อรองที่ไม่เท่าเทียม การนำเทคโนโลยีจากต่างชาติเข้ามาโดยไม่มีระบบคุ้มครองข้อมูล องค์ความรู้ และสิทธิความเป็นเจ้าของที่เพียงพอ อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียความเป็นเจ้าขององค์ความรู้ในระยะยาวและตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางเทคโนโลยี
ในมิติรัฐศาสตร์ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า neo-extractivism หรือ "การขุดแบบใหม่" ที่รัฐไม่ได้สูญเสียอำนาจทางการเมืองโดยตรง แต่กลับ "สมัครใจเปิดทรัพยากร" เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยไม่ท้าทายโครงสร้างทุนระดับโลก ในขณะที่สหรัฐฯ พยายามสร้างพันธมิตรแร่หายากกับไทย ออสเตรเลีย และเวียดนาม จีนก็เดินเกมคู่ขนานโดยสนับสนุนโครงการรีไซเคิลและเทคโนโลยีแปรรูปขั้นสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในสนามการแข่งขันแค่ระดับเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังอยู่ในสนามการเมืองของอำนาจโลก ซึ่งเป็นสมรภูมิที่ต้องใช้ความระมัดระวังและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
5. วงจรล็อกอินเชิงโครงสร้าง: เมื่อพัฒนาแต่อยู่ในกรอบเดิม
Marquardt และ Nasiritousi เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า imaginary lock-ins — การที่สังคมติดอยู่ในจินตภาพแห่งความก้าวหน้า จนมองไม่เห็นว่ากำลังเดินซ้ำรอยอดีต แร่หายากอาจกลายเป็น "มายาคติใหม่ของการพัฒนา" ที่หล่อเลี้ยงด้วยความเชื่อว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้เราหลุดพ้นจากวิกฤต แต่ในความเป็นจริง มันอาจสร้าง "พันธนาการเชิงโครงสร้าง" ใหม่ ที่ยิ่งลงทุนยิ่งยากจะถอนตัว
ประเทศไทยจึงต้องตระหนักว่า "การเปลี่ยนผ่านพลังงาน" จะไม่นำไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริง หากไม่เปลี่ยนผ่านโครงสร้างอำนาจและค่านิยมการพัฒนาไปพร้อมกัน การพูดถึง Net Zero จึงควรมาคู่กับ "Justice Transition" หรือ "การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม" ซึ่งหมายถึงการสร้างความเป็นธรรมต่อทั้งคนและธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีเท่านั้น.
6. ทางรอดที่ยั่งยืน: เศรษฐกิจหมุนเวียนและการมีส่วนร่วมที่แท้จริง
หากประเทศไทยต้องการก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ซ้ำรอยความผิดพลาดในอดีต เราจำเป็นต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการ "ขุด" (resource extraction) ไปสู่ "การบริหารจัดการทรัพยากร" (resource governance) อย่างชาญฉลาด
แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน และ "การทำเหมืองในเมือง" คือกุญแจสำคัญในการลดแรงกดดันต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ของเสียอิเล็กทรอนิกส์เก่าให้เป็นแหล่งแร่หายากทดแทนการเปิดเหมืองใหม่ (ตามแนวทางที่ได้รับการสนับสนุนจากหลายองค์กรระหว่างประเทศ เช่น UNEP) การนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ไม่เพียงลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจอีกด้วย นอกจากนี้ การสร้างกลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในกระบวนการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง รัฐควรพิจารณาจัดตั้ง "สภาทรัพยากรแห่งชาติ" ที่ประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ ชุมชน และนักเศรษฐศาสตร์ เพื่อร่วมกันกำหนดนโยบายและทิศทางการพัฒนา ซึ่งจะช่วยให้เสียงของประชาชนในพื้นที่ไม่ถูกกลบด้วยผลประโยชน์ของกลุ่มทุนดังเช่นที่เคยเป็นมา การพัฒนาที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ "ประชาชน" มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของข้อมูล ทรัพยากร และสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้อย่างแท้จริง
7. พลังงานสะอาดที่อาจไม่สะอาด หากการเมืองยังสกปรก
แร่หายากเป็นสัญลักษณ์ของความหวังในยุคพลังงานสะอาด แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความย้อนแย้งที่สำคัญของยุคสมัยนี้ นั่นคือ ความสะอาดทางเทคโนโลยีอาจถูกสร้างขึ้นบนความสกปรกทางการเมืองของทรัพยากร สำหรับประเทศไทย "โอกาสใหม่" จะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเรากล้าที่จะเผชิญกับ "เงามือเก่า" ซึ่งหมายถึงระบบการตัดสินใจที่รวมศูนย์ การมองข้ามความสำคัญของชุมชน และความเชื่อที่ว่าเศรษฐกิจต้องมาก่อนสิ่งแวดล้อม
หากรัฐไทยสามารถพลิกแนวคิดจากการ "ขุดเพื่อเติบโต" ไปสู่ "การบริหารจัดการเพื่อการอยู่รอดร่วมกัน" ไม่เพียงแต่ประเทศไทยอาจได้รับประโยชน์จากแร่หายาก แต่ยังได้มาซึ่ง "อธิปไตยทางทรัพยากร" และ "ความมั่นคงเชิงสิ่งแวดล้อม" ที่ยั่งยืนกลับคืนมาด้วย
8. ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ: ทางออกเชิงนโยบายและการบริหารจัดการแร่หายากของไทย
หากประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ยุค "พลังงานสะอาด" โดยไม่ซ้ำรอยกับกับดักการพัฒนาในอดีต จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางระบบบริหารจัดการแร่หายากอย่างเป็นระบบและรอบด้าน ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 3 มิติหลัก ได้แก่ นโยบาย สถาบัน และมิติภูมิภาค รวมถึงการเชื่อมโยงกับแผนชาติและการสื่อสารสาธารณะ:
มิติเชิงนโยบาย: สร้าง "กรอบยุทธศาสตร์แร่หายากแห่งชาติ"
ประเทศไทยควรรีบจัดทำยุทธศาสตร์แร่หายากแห่งชาติ ภายใต้การบูรณาการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการต่างประเทศ ยุทธศาสตร์นี้ควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน 3 ด้าน
1. เศรษฐกิจมูลค่าเพิ่ม: เน้นการพัฒนาเทคโนโลยีแปรรูป การวิจัยและพัฒนา เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ และยกระดับการผลิตไปสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง แทนที่จะเป็นเพียงการส่งออกวัตถุดิบ
2. สิ่งแวดล้อมและสุขภาพ: กำหนดมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสากล เช่น ISO 14064 หรือ GHG Protocol เพื่อตรวจสอบและควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนอย่างเข้มงวด
3. ความเป็นธรรมทางสังคม: จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งเพื่อชดเชยผลกระทบ และส่งเสริมการสร้างอาชีพใหม่ในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง เพื่อให้มั่นใจว่าการเปลี่ยนผ่านนี้เป็นธรรมต่อทุกคน
นอกจากนี้ ควรมีการบังคับใช้ระบบ "Environmental-Economic Accounting" เพื่อบันทึกต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างโปร่งใส เพื่อให้ทุกโครงการสะท้อนต้นทุนจริงของการใช้ทรัพยากร
มิติเชิงสถาบัน: ตั้ง "คณะกรรมการอิสระด้านธรรมาภิบาลทรัพยากร"
หนึ่งในจุดอ่อนของการจัดการทรัพยากรในไทยคือ "การรวมศูนย์การอนุมัติ" และ "การขาดกลไกตรวจสอบอิสระ" เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จึงควรจัดตั้ง "คณะกรรมการอิสระด้านธรรมาภิบาลทรัพยากร" โดยมีองค์ประกอบจากนักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม นักนโยบายสาธารณะ ตัวแทนภาคประชาชน และผู้แทนชุมชน
คณะกรรมการนี้ควรมีอำนาจหน้าที่
• ตรวจสอบกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ให้มีความโปร่งใสและเปิดเผยต่อสาธารณะ
• กำหนด "เขตห้ามขุด" ในพื้นที่อนุรักษ์และระบบนิเวศที่เปราะบาง
• สร้างฐานข้อมูลกลางเกี่ยวกับปริมาณสำรองแร่และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถเข้าถึงได้
• ให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐบาลและรัฐสภาในการอนุมัติโครงการเหมือง
โมเดลนี้อาจเรียนรู้จากคณะกรรมการทรัพยากรแห่งชาติของนอร์เวย์ ซึ่งเป็นต้นแบบการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างโปร่งใสและยั่งยืน โดยยึดแนวทาง "รัฐเป็นเจ้าของร่วมกับสังคม"
มิติภูมิภาค: สร้าง "พันธมิตรแร่หายากอาเซียน"
ในเวทีอาเซียน ประเทศไทยสามารถเป็นผู้นำในการริเริ่ม "ASEAN Rare Earth Partnership" เพื่อกำหนดมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนในอุตสาหกรรมแร่หายากร่วมกัน เนื่องจากปัจจุบัน เวียดนาม ลาว และเมียนมา ต่างก็มีศักยภาพด้านแร่หายากเช่นเดียวกับไทย แต่ยังขาดกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาคที่แข็งแกร่ง
พันธมิตรนี้สามารถร่วมกันพัฒนา "กองทุนสิ่งแวดล้อมอาเซียนด้านทรัพยากร" เพื่อสนับสนุนการวิจัย เทคโนโลยีสะอาด และระบบตรวจสอบผลกระทบข้ามพรมแดน การผลักดันกรอบความร่วมมือดังกล่าวจะไม่เพียงสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาค แต่ยังช่วยลดแรงกดดันจากมหาอำนาจโลกที่อาจใช้ทรัพยากรเป็นเครื่องต่อรองทางการเมือง
การเชื่อมโยงกับ "แผนพลังงานชาติ 2050"
แร่หายากควรถูกผนวกเข้ากับแผนพลังงานชาติ ในฐานะทรัพยากรยุทธศาสตร์ เพื่อให้การบริหารจัดการอยู่ภายใต้เป้าหมายเดียวกับการลดการปล่อยคาร์บอนของประเทศ การวางนโยบายที่เชื่อมโยงกันจะทำให้รัฐสามารถวางแผน "เส้นทางพลังงานและทรัพยากร" ที่สอดคล้องกัน ตั้งแต่การขุดแร่ การผลิตพลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงการจัดการของเสียหลังการใช้งาน นอกจากนี้ รัฐควรส่งเสริมอุตสาหกรรมรีไซเคิลและวิจัยด้านวัสดุทางเลือก เช่น การสกัดนีโอไดเมียมจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือการพัฒนาแม่เหล็กที่ไม่พึ่งพาแร่หายาก เพื่อลดแรงกดดันต่อระบบนิเวศอย่างยั่งยืน
การสื่อสารสาธารณะและความโปร่งใส
สุดท้าย สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การวางนโยบายและกลไก คือ "การสื่อสารกับสังคม" อย่างโปร่งใสและต่อเนื่อง รัฐควรจัดตั้งแพลตฟอร์มข้อมูลสาธารณะ เช่น "Thai Rare Earth Transparency Portal" เพื่อเผยแพร่ข้อมูลทุกขั้นตอนของการสำรวจ การขุด การอนุมัติ รวมถึงรายงานผลกระทบและมาตรการเยียวยาอย่างละเอียด เพราะความยั่งยืนไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีหรือนโยบายที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่เกิดจาก "ความไว้วางใจของสังคม" ที่รัฐต้องสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยความรับผิดชอบและความโปร่งใส
9. จากโอกาสสู่ความมั่นคง: บททดสอบครั้งสำคัญของวิสัยทัศน์รัฐไทย
การพัฒนาแร่หายากมิใช่เพียงเรื่องของการขุดค้นทรัพยากร แต่คือ "บททดสอบครั้งสำคัญของวิธีคิดและวิสัยทัศน์ของรัฐไทยที่มีต่ออนาคตของประเทศ" หากเรายังคงยึดติดกับกรอบคิดแบบเดิมที่มองทรัพยากรเป็นเพียง "ของใช้แล้วทิ้ง" ซึ่งมุ่งเน้นการแสวงหาผลประโยชน์ระยะสั้น รัฐย่อมจะต้องเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ความยุติธรรมทางสังคม และอำนาจต่อรองในเวทีโลก
ทว่า หากประเทศไทยสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การพัฒนา โดยมองทรัพยากรเหล่านี้ในฐานะ "ทุนร่วมของสังคม" ที่ต้องบริหารจัดการอย่างรอบคอบ โปร่งใส และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง แร่หายากก็จะสามารถเปลี่ยนจาก "โอกาสใหม่ที่แฝงด้วยเงามือเก่า" ไปสู่การสร้างรากฐานความมั่นคงที่ยั่งยืน ไม่เพียงแต่ในมิติทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความมั่นคงเชิงสิ่งแวดล้อม และศักดิ์ศรีของประเทศที่หยั่งรากลึกในความยุติธรรมอีกด้วย
Categories
Hashtags