เสียงสั่นสะเทือนจากใต้ดินกับบทเรียนเรื่องการสื่อสารความเสี่ยง
Published: 17 April 2025
223 views

เสียงสั่นสะเทือนจากใต้ดิน กับบทเรียนเรื่องการสื่อสารความเสี่ยง

ผศ.ดร.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ 

ในเวลา 13.30 ของวันที่ 28 มีนาคม 2568 วันศุกร์บ่ายที่หลายคนกำลังทำงานตามปกติ แต่ไม่ทันได้ตั้งตัวเสียงสั่นไหวใต้พื้นดินกึกก้องขึ้นมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า แผ่นดินไหวอาจเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที แต่ผลกระทบของมันสามารถเปลี่ยนชีวิตผู้คนไปตลอดกาล เมื่อ "ภัยพิบัติ" ไม่ได้เลือกเวลาเกิด ไม่ได้เลือกพื้นที่ และไม่เคยแจ้งเตือนล่วงหน้าอย่างแน่ชัด การสื่อสารความเสี่ยงจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความสูญเสียทั้งในเชิงชีวิต ทรัพย์สิน และความมั่นคงของสังคม ยิ่งในยุคที่ผู้คนเชื่อมโยงกันผ่านเครือข่ายข้อมูลความเร็วสูง เสียงจากผู้ส่งสารจึงยิ่งต้องชัดเจน เชื่อถือได้ และสามารถปลุกสำนึกของผู้คนให้เข้าใจถึงภัยที่กำลังจะมาอย่างถูกต้อง

ประเทศไทยกับแผ่นดินไหว: ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ใต้ความสงบ

แม้ในความรับรู้ของสังคมไทยแผ่นดินไหวอาจไม่ใช่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเหมือนน้ำท่วมหรือพายุ แต่ในความเป็นจริง ประเทศไทยตั้งอยู่ใกล้แนวรอยเลื่อนสำคัญหลายแห่งที่ยังมีพลังและสามารถก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในระดับที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างมีนัยสำคัญ รอยเลื่อนเหล่านี้ เช่น รอยเลื่อนแม่จันในภาคเหนือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ในภาคตะวันตก และรอยเลื่อนระนองในภาคใต้ ล้วนมีศักยภาพในการกระตุ้นแผ่นดินไหวขนาดปานกลางถึงรุนแรงในอนาคต หนึ่งในเหตุการณ์ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนไทยคือ แผ่นดินไหวขนาด 6.3 ที่อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย เมื่อปี 2557 ซึ่งสร้างความเสียหายต่ออาคารบ้านเรือน โรงเรียน วัด และโบราณสถานในพื้นที่จำนวนมาก อีกทั้งยังสร้างความตื่นตระหนกในวงกว้าง เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่และประชาชนยังขาดความเข้าใจในการรับมือกับภัยประเภทนี้ กระทั่งในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ความเสี่ยงนี้กลับมาปรากฏให้เห็นอีกครั้งอย่างชัดเจน เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 เกิดแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวที่สามารถรับรู้ได้ชัดเจนในหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้อาคารหลายแห่งสั่นไหว โดยเฉพาะตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้เกิดการถล่มลงจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิต เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่เพียงตอกย้ำว่าแผ่นดินไหวไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป หากยังชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของเมืองใหญ่ และความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนา “ระบบการสื่อสารความเสี่ยง” ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น การรู้ทันและเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว ชัดเจน และน่าเชื่อถือ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยลดความสูญเสีย และทำให้สังคมไทยสามารถรับมือกับภัยเงียบนี้ได้อย่างมีสติและพร้อมเพรียง

ศิลปะแห่งการสื่อสารความเสี่ยง: ไม่ใช่แค่การแจ้งเตือน แต่คือการสร้างความเข้าใจ

การสื่อสารความเสี่ยง (Risk Communication) ไม่ใช่เพียงการประกาศเตือนภัยผ่านโทรทัศน์หรือส่งข้อความผ่านแอปพลิเคชันเท่านั้น หากแต่เป็นกระบวนการที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาก เพราะมันเกี่ยวข้องกับการทำให้ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ กลายเป็นภาษาที่ประชาชนเข้าใจและรู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร ทั้งนี้นักวิชาการด้านการสื่อสารชี้ว่า การสื่อสารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ได้แก่

ความชัดเจนและเรียบง่าย (Clarity & Simplicity)

ในยามที่ผู้คนตกอยู่ในภาวะตึงเครียด สมองของเราจะไม่สามารถประมวลผลข้อความที่ซับซ้อนได้เท่ากับในภาวะปกติ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการใช้ “ภาษาง่าย” จึงสำคัญยิ่งยวด ยิ่งข้อมูลเกี่ยวข้องกับเรื่องทางเทคนิค เช่น ค่าแรงสั่นสะเทือนระดับ 6.2 ตามมาตราริกเตอร์ คำเหล่านี้อาจไม่มีความหมายในเชิงปฏิบัติสำหรับคนทั่วไป แต่หากมีคำอธิบายเพิ่มเติม เช่น “เทียบเท่ากับแรงสั่นสะเทือนที่สามารถทำให้ผนังบ้านแตกร้าว หรือของตกจากชั้นวางได้” ก็จะช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจความรุนแรงและเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม 

ความน่าเชื่อถือ (Credibility)

ความเชื่อมั่นในตัวผู้ส่งสารเป็นอีกหนึ่งหัวใจของการสื่อสารความเสี่ยง ข้อมูลที่มาจากแหล่งที่ประชาชนเชื่อถือ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา นักธรณีวิทยาที่มีชื่อเสียง หรือสถาบันวิชาการภาครัฐ จะได้รับการตอบสนองมากกว่าข้อมูลที่ถูกแชร์โดยไม่ระบุแหล่งที่มา แม้จะถูกต้องก็ตาม 

ทันเวลา (Timeliness)

ในการสื่อสารความเสี่ยง “เร็ว” อาจไม่ได้หมายถึง “ดีที่สุด” แต่ “เร็วอย่างมีสาระและถูกต้อง” คือหัวใจของการป้องกันวิกฤต ผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติเห็นพ้องว่า หน่วยงานรัฐควรมีระบบที่สามารถออก “สัญญาณเตือนล่วงหน้า” ได้อย่างน้อย 1 นาที ซึ่งแม้ดูเหมือนน้อยนิด แต่เพียงพอให้ผู้คนรีบหลบเข้าใต้โต๊ะ ปิดแก๊ส หรือวิ่งออกจากอาคาร ซึ่งอาจเป็นเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย 

เมื่อสารต้องเดินทางให้ “เข้าถึง” คนทุกกลุ่ม

ในการสื่อสารความเสี่ยง ไม่มีเครื่องมือใดที่ “ดีที่สุด” โดยลำพัง หากแต่ต้องออกแบบให้เหมาะสมกับผู้รับสารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองที่ใช้สมาร์ตโฟนและติดตามข่าวสารผ่านโซเชียลมีเดีย หรือชาวชนบทที่ยังพึ่งพาวิทยุ เสียงตามสาย และคำบอกเล่าจากผู้นำชุมชนเป็นหลัก การเลือกใช้เครื่องมือสื่อสารในแต่ละพื้นที่ จึงเปรียบได้กับการเลือกช่องทางน้ำเพื่อส่งสารให้ไหลไปถึงผู้คนได้อย่างราบรื่น

แพลตฟอร์มดิจิทัล (Digital Platforms) คือเครื่องมือสำคัญสำหรับพื้นที่เมืองที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง คนจำนวนมากในปัจจุบันติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านแอปพลิเคชัน LINE, Facebook หรือ Twitter ด้วยความรวดเร็ว การส่งข้อความแจ้งเตือนแผ่นดินไหวผ่านแอปของกรมอุตุนิยมวิทยาหรือผ่านบัญชีทางการของหน่วยงานที่เชื่อถือได้ จึงเป็นช่องทางที่ตอบโจทย์ความไวและความสะดวกของประชาชนในเขตเมืองอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม ความเร็วเพียงอย่างเดียวไม่พอ หากเนื้อหานั้นเข้าใจยากหรือเต็มไปด้วยศัพท์วิชาการที่แห้งแล้ง อินโฟกราฟิก (Infographics / Visuals) จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง เพราะสามารถสื่อสารสาระสำคัญได้ภายในไม่กี่วินาทีผ่านภาพ ตัวอย่างเช่น การสร้างแผนที่จุดปลอดภัยเมื่อเกิดแผ่นดินไหว แผนผังการอพยพ หรือภาพประกอบวิธีเอาตัวรอดแบบง่าย ๆ ที่เด็กก็เข้าใจได้ ผู้สูงอายุก็จดจำได้ เหมาะสำหรับการแชร์ผ่านโซเชียลมีเดีย หรือแจกจ่ายตามศูนย์ชุมชนและโรงเรียน ในอีกด้านหนึ่ง สำหรับชุมชนชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลที่อินเทอร์เน็ตยังเข้าไม่ถึง การสื่อสารผ่านเสียงตามสาย หรือ วิทยุชุมชน (Community Radio) ยังคงมีความสำคัญอย่างมาก เสียงเรียบ ๆ แต่มั่นคงของผู้ประกาศท้องถิ่นที่คอยรายงานสถานการณ์หรือแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า สามารถสร้างผลกระทบทางจิตใจได้มากกว่าข้อความดิจิทัลที่ประชาชนบางส่วนอาจไม่เข้าใจหรือเข้าไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ เสียงเหล่านี้คือเสียงของความใกล้ชิดและความไว้วางใจและในที่สุด ไม่มีเครื่องมือใดจะทรงพลังเท่ากับ ผู้นำชุมชนที่ประชาชนเคารพและเชื่อฟัง (Trusted Community Leaders) ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่บ้าน ครูประจำหมู่บ้าน พระสงฆ์ หรือแม้แต่ปราชญ์ในพื้นที่ การสื่อสารผ่านบุคคลเหล่านี้สามารถ “แปล” ข้อมูลวิชาการให้กลายเป็นเรื่องเล่าแบบพื้นบ้าน หรือคำแนะนำที่เข้าถึงคนฟังได้อย่างแนบเนียน เป็นพลังแห่งความเข้าใจที่เทคโนโลยีล้วนไม่อาจแทนที่ได้ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า การเลือกใช้เครื่องมือในการสื่อสารความเสี่ยงไม่ควรเป็นการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ควรออกแบบให้ “ทำงานร่วมกัน” เพื่อเสริมแรงและเติมเต็มกันและกัน การผสมผสานทั้งเครื่องมือดิจิทัลและเครื่องมือดั้งเดิม รวมถึงความเข้าใจในมนุษย์และความหลากหลายของพื้นที่ คือกุญแจที่จะทำให้ข้อมูลเดินทางไปถึงผู้คนได้อย่างรอบด้าน และกลายเป็นพลังในการปกป้องชีวิตอย่างแท้จริงในยามวิกฤต

การจัดการกับข่าวลือและข้อมูลผิดพลาด

การจัดการกับข่าวลือและข้อมูลผิดพลาดในการสื่อสารความเสี่ยงเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลไหลเวียนอย่างไร้ขอบเขตผ่านโซเชียลมีเดียและช่องทางออนไลน์ เมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหว ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนหรือข่าวลวงสามารถกระจายตัวได้เร็วกว่าความจริง และอาจสร้างความตื่นตระหนกเกินความจำเป็น ส่งผลให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในหน่วยงานรัฐหรือกระทำการเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ดังนั้น ภาครัฐควรมีระบบ "ตอบกลับเร็ว" ที่สามารถตรวจสอบ แก้ไข และชี้แจงข้อมูลเท็จได้อย่างทันท่วงที พร้อมทั้งใช้ช่องทางการสื่อสารที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย เช่น เพจทางการ สื่อท้องถิ่น หรือเครือข่ายผู้นำชุมชน เพื่อสร้าง “ภูมิคุ้มกันข่าวลือ” และฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างต่อเนื่องในภาวะวิกฤต

เมื่อโลกสั่นไหว เราต้องไม่สั่นคลอน: สิ่งที่รัฐและมหาวิทยาลัยควรทำเพื่อเตรียมพร้อมรับมือแผ่นดินไหว

การรับมือกับแผ่นดินไหวไม่ใช่แค่เรื่องของวิศวกรรมโครงสร้างอาคาร หรือการติดตั้งเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องของ “ความรู้ ความเข้าใจ และการสื่อสาร” ที่จะช่วยให้ประชาชนมีสติในยามฉุกเฉิน รู้ว่าจะทำอย่างไร และเชื่อมั่นในข้อมูลที่ได้รับ ไม่ตื่นตระหนก แต่ตื่นตัวอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่รัฐ และมหาวิทยาลัยสามารถทำได้ เพื่อเปลี่ยน “ความกลัว” ให้กลายเป็น “ความพร้อม” และเปลี่ยน “เสียงเตือนภัย” ให้เป็น “เสียงของความมั่นใจ” 

รัฐไม่ใช่แค่ผู้แจ้งเตือน แต่คือผู้นำในการสร้างวัฒนธรรมแห่งความพร้อม

ภาครัฐควรเป็นผู้ริเริ่มการพัฒนา “ระบบเตือนภัยล่วงหน้า” ที่ครอบคลุมทั้งเมืองและชนบท เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลทันทีที่ตรวจพบแรงสั่นสะเทือน การใช้ SMS, แอปพลิเคชัน, และเสียงตามสายอย่างสอดคล้องกันจะช่วยให้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ได้รับรู้ข้อมูลอย่างเท่าเทียมและทันเวลา แต่การเตือนภัยจะไม่มีประโยชน์ หากผู้คนไม่เข้าใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป รัฐจึงควรจัดทำคู่มือ “ภาษาง่าย” และอินโฟกราฟิกให้ประชาชนเข้าใจขั้นตอนการเอาตัวรอด รวมถึงฝึกอบรมผู้นำชุมชนให้สามารถสื่อสารข้อมูลในภาษาที่คนในพื้นที่เชื่อถือและเข้าถึงได้ เหนือสิ่งอื่นใด คือการ “ซ้อม” เพราะความรู้จะไม่มีวันทำจริงได้ หากไม่ได้ฝึกใช้จริง การซ้อมอพยพประจำปีควรเป็นกิจกรรมร่วมของโรงเรียน วัด ชุมชน และท้องถิ่น เป็นทั้งการเตรียมพร้อมและการสร้างจิตสำนึกว่า ภัยพิบัติเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งสังคม

มหาวิทยาลัยแหล่งปัญญาที่เปลี่ยนห้องเรียนให้เป็นเวทีแห่งการปกป้องชีวิต

มหาวิทยาลัยสามารถเป็น “แหล่งผลิตองค์ความรู้และคนรุ่นใหม่” ที่พร้อมจะลงมือทำ ลองจินตนาการว่า นักศึกษาคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ผลิตคลิป TikTok สอนวิธีเอาตัวรอดจากแผ่นดินไหวในเวลา 60 วินาที ขณะเดียวกัน นักศึกษาวิศวกรรมออกแบบบ้านราคาประหยัดที่ทนแรงสั่นสะเทือนได้ นักศึกษาด้านภูมิศาสตร์และวิทยาศาสตร์สร้างแบบจำลอง 3 มิติเพื่อศึกษารอยเลื่อนแผ่นดินไหว และนักศึกษาคณะศิลปศาสตร์ลงพื้นที่สัมภาษณ์ผู้สูงอายุในหมู่บ้านห่างไกล เพื่อเข้าใจว่าพวกเขาต้องการรับข้อมูลภัยพิบัติอย่างไร เมื่อทุกคณะร่วมมือกัน ความรู้จะไม่อยู่แต่ในหนังสือ แต่มันจะกลายเป็นพลังของการเปลี่ยนแปลงในสังคม นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยยังสามารถจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติ จัดเวิร์กช็อป ฝึกอบรมครู อสม. หรือเยาวชนท้องถิ่นให้เป็น “นักสื่อสารความเสี่ยง” ที่เข้าใจผู้คนในพื้นที่จริง ๆ สร้างเครือข่าย “อาสาสมัครความรู้” ที่พร้อมจะส่งต่อสารอันมีคุณค่าท่ามกลางภาวะความโกลาหล

หากรัฐมองไกล มหาวิทยาลัยขยับใกล้ และประชาชนลุกขึ้นมาเรียนรู้ร่วมกัน สังคมไทยจะไม่เป็นเพียงผู้รอรับชะตากรรมจากธรรมชาติอีกต่อไป และเมื่อภัยพิบัติมาเยือนอีกครั้ง เสียงแรกที่เราได้ยินอาจไม่ใช่เสียงกรีดร้อง แต่เป็นเสียงแห่งความพร้อมที่เปล่งออกมาจากสติเราทุกคน


รายการอ้างอิง

Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2014). Crisis and Emergency Risk Communication (CERC). https://emergency.cdc.gov/cerc

Morgan, M. G., Fischhoff, B., Bostrom, A., & Atman, C. J. (2002). Risk communication: A mental models approach. Cambridge University Press.

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวประเทศไทย. สืบค้นจาก https://www.gistda.or.th



Categories

Comments
To join the comment, please sign in.
Sign in
Don’t have an account? Register
Loading comments...