ภาสนันทน์ อัศวรักษ์/ สุทธิพงษ์ เรืองจันทร์/ สุรัตน์ เพชรนิล
เมื่อการเรียนรู้เริ่มต้นจากการ "เข้าใจผู้อื่น"
เช้าวันหนึ่งของวันที่ 17 เมษายน 2568 ห้องเรียน LIB 108 ณ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เต็มไปด้วยพลังของนักศึกษารุ่นใหม่กว่า 127 คน ที่มาร่วมกิจกรรม “KMUTT Disability Awareness for All – Session III: เข้าใจวิถีคนพิการ สู่การสร้างนวัตกรรมเพื่อทุกคน” วันนี้อาจดูเหมือนกิจกรรมทั่วไปในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ความพิเศษของวันนี้คือ นักศึกษาไม่ได้มาเพื่อรับฟังบรรยายอย่างเดียว แต่ได้“เข้าไปอยู่ในโลกของคนพิการ”ผ่านการจำลองสถานการณ์ บทบาทสมมติ และการพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับพี่ๆ คนพิการที่มาเล่าชีวิตจริง พร้อมแลกเปลี่ยนปัญหา ความหวัง และแรงบันดาลใจ สิ่งที่เกิดขึ้น คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนมุมมองต่อ “ความพิการ” ไม่ใช่แค่ คำจำกัดความในตำรา แต่ เป็นชีวิต เป็นความหลากหลาย และเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ทุกคนควรมีส่วนร่วมและได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม
มากกว่าความเห็นใจ คือความเข้าใจและจิตสำนึกทางสังคม
ประสบการณ์ที่นักศึกษาได้รับจากกิจกรรมนี้ ไม่ได้เพียงแค่ “ตระหนักรู้” ว่าคนพิการต้องเผชิญกับอะไรในชีวิตประจำวัน แต่ยังเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง ผ่านหลักการของการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning) ของ Kolb (1984) ที่เริ่มจากประสบการณ์ตรง (Concrete Experience) การสังเกตและสะท้อน (Reflective Observation) ไปสู่การสังเคราะห์แนวคิดใหม่ (Abstract Conceptualization) และการนำไปทดลองใช้จริง (Active Experimentation) ในแต่ละช่วงของกระบวนการ นักศึกษาได้พัฒนาทักษะทางสังคม เช่น ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy), การเข้าใจผู้อื่น (Understanding Others), การสะท้อนตนเอง (Self-Reflection), และที่สำคัญคือ ความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) การที่พวกเขาได้ยินเสียงของคนพิการด้วยตัวเอง ได้ลองใช้ชีวิตในสถานการณ์จำลอง เช่น การปิดตาสื่อสารทิศทางหรือการพยายามสื่อสารด้วยภาษามือ สิ่งเหล่านี้เปลี่ยน “ความสงสาร” ให้กลายเป็น “ความเข้าใจ” และกระตุ้นคำถามภายในว่า “แล้วเราจะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงได้บ้าง”
การเรียนรู้เชิงประสบการณ์แบบนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยเฉพาะ SDG 4 – Quality Education: ที่เน้น “การศึกษาที่ครอบคลุมและเท่าเทียมสำหรับทุกคน” ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมให้เยาวชนมีทักษะชีวิตและคุณลักษณะที่พร้อมรับผิดชอบต่อสังคม (UN, 2015) SDG 10 – Reduced Inequalities: ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะการส่งเสริมโอกาสที่เท่าเทียมสำหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาส และ SDG 11 – Sustainable Cities and Communities: ที่กล่าวถึงการพัฒนาเมืองและพื้นที่ชุมชนให้ “ปลอดภัย ยืดหยุ่น และครอบคลุม” สำหรับทุกคน รวมถึงการออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนพิการ
จากจิตอาสาสู่การจุดประกายนวัตกรรมเพื่อสังคม
หนึ่งในไฮไลท์ของกิจกรรมคือ Design Thinking Workshop ซึ่งนักศึกษาได้ร่วมระดมสมองเพื่อออกแบบนวัตกรรมที่สามารถส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนพิการ โดยได้รับฟังปัญหาจริงจากผู้มีประสบการณ์ตรง กิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่ฝึกให้พวกเขาเป็นนักคิดเชิงสร้างสรรค์ แต่ยังฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง (Active Listening) และการออกแบบที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ (Human-Centered Design) เป็นศูนย์กลาง หลายกลุ่มนำเสนอแนวคิดที่น่าทึ่ง เช่น “แอปช่วยสื่อสารสำหรับผู้พิการทางการพูด” หรือ “อุปกรณ์เสริมสำหรับ wheel chair ที่ตอบโจทย์สภาพพื้นผิวของเมืองไทย”
ไอเดียเหล่านี้ไม่เพียงสร้างคุณค่าในเชิงวิศวกรรม สถาปัตยกรรมหรือเทคโนโลยี แต่ยังมี “จิตวิญญาณของความเข้าใจ” ซ่อนอยู่เบื้องหลัง สิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงกับแนวคิด “Universal Design for All” และหลักการ “Human-Centered Innovation” ที่เป็นแกนกลางในเป้าหมายของ SDG 9 (Industry, Innovation and Infrastructure) ซึ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการของทุกคน ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มผู้มีข้อจำกัดทางร่างกายหรือจิตใจ (UNESCO, 2021)
Inclusive Society: สังคมที่ออกแบบมาเพื่อ “ทุกคน”
“สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” (Inclusive Society) ไม่ใช่เพียงวาทกรรมของนโยบายสาธารณะหรือหลักการสิทธิมนุษยชน แต่คือการออกแบบทุกมิติของชีวิตให้รองรับความหลากหลาย และมอง “คนพิการ” ไม่ใช่เป็นผู้ด้อยโอกาส แต่คือ “พลเมือง” ที่มีสิทธิ มีศักยภาพ และมีบทบาทในสังคม แนวคิดนี้มีรากฐานจาก John Rawls (1971) และถูกต่อยอดโดย Amartya Sen (1999) ที่เน้นว่า การพัฒนาไม่ควรมองแค่ “ตัวเลข” แต่ต้องทำให้ทุกคนสามารถใช้ศักยภาพของตนได้อย่างเต็มที่ โดยไม่มีโครงสร้างใด ๆ มากีดกัน กิจกรรมนี้จึงไม่เพียงเป็นการเรียนรู้เพื่อ “เข้าใจคนพิการ” แต่ยังช่วยให้เยาวชนเข้าใจสังคม เข้าใจโลก และเข้าใจบทบาทของตนในฐานะพลเมืองที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้
พลังของการมองเห็น “ตัวตน” ในอีกชีวิตหนึ่ง
ในช่วงหนึ่งของกิจกรรม นักศึกษาคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า
“หนูเคยคิดว่าคนพิการคือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่วันนี้หนูเห็นว่า พวกเขาเก่งและเข้มแข็งมาก แค่สังคมยังไม่เปิดทางให้เท่านั้นเอง”
คำพูดสั้น ๆ นี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งกว่าเพียง “ความเข้าใจ” มันคือการที่ผู้เรียน “เห็นตัวตน” ของผู้อื่นในมิติที่สังคมไม่ค่อยเปิดเผย มันคือการปลดล็อกอคติที่ไม่รู้ตัว และเริ่มต้นใหม่ด้วยมุมมองที่เคารพต่อความหลากหลาย การเคลื่อนไหวในระดับสถาบันนี้สัมพันธ์กับแนวคิด University Social Responsibility (USR) ที่ได้รับการส่งเสริมโดย UNESCO ผ่านการประชุม World Conference on Higher Education (WCHE, 2009) โดยระบุว่า สถาบันอุดมศึกษาต้องมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างยั่งยืนทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก (UNESCO, 2009)
มหาวิทยาลัยในฐานะผู้เปลี่ยนผ่าน
KMUTT คือหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ขับเคลื่อนแนวคิด University Social Responsibility (USR) อย่างจริงจัง โดยไม่เพียงเน้นการเรียนรู้เพื่อวิชาการ แต่เพื่อ “การเปลี่ยนแปลงสังคม” การบูรณาการรายวิชา SSC262 กับกิจกรรมร่วมกับคนพิการ เป็นตัวอย่างของการสร้าง “พลเมืองที่มีความรับผิดชอบทางสังคม” อย่างเป็นรูปธรรม ความรู้สึกที่นักศึกษาสะท้อนหลังจบกิจกรรม ไม่ได้จบลงแค่ภายในห้องเรียน แต่แปรเปลี่ยนเป็นความตั้งใจที่จะเป็นอาสาสมัคร การเสนอโปรเจกต์ต่อยอด และแรงบันดาลใจที่จะนำแนวคิด “เทคโนโลยีเพื่อทุกคน” ไปใช้จริงในอนาคต
แค่เปิดใจ ก็เปลี่ยนโลกได้
ในโลกที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและการแข่งขัน บางครั้งเราหลงลืมว่า “มนุษย์” ไม่ใช่เพียงแรงงานในระบบเศรษฐกิจ แต่คือ “ชีวิต” ที่ต้องการการยอมรับ ความเข้าใจ และโอกาสที่เท่าเทียมกัน การสร้าง “สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เริ่มได้จากการเปลี่ยนแปลงในระดับปัจเจก การฟังด้วยใจ การมองเห็นคุณค่าของผู้อื่น และการเลือกที่จะลงมือทำแม้เป็นเรื่องเล็กน้อย KMUTT Disability Awareness for All ไม่ใช่เพียงกิจกรรมในมหาวิทยาลัย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบอนาคต ที่คนทุกกลุ่มสามารถ “อยู่ร่วม” ได้อย่างมีศักดิ์ศรีเพราะบางครั้ง... แค่เปิดใจ ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนโลกใบนี้ให้ดีขึ้น
การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงกับคนพิการ (Experiential Learning) จึงมิได้เป็นเพียงกิจกรรมเชิงจิตอาสาหรือโครงการพิเศษที่แยกขาดจากเนื้อหาวิชาการ หากแต่คือการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนา "คุณลักษณะพลเมืองโลก" (Global Citizenship) อย่างแท้จริง ผ่านการฝึกฝนตนเองให้เข้าใจผู้อื่น เห็นอกเห็นใจ รับฟังความหลากหลาย และตั้งคำถามต่อความเป็นธรรมในสังคม ในระดับปัจเจก นักศึกษาได้ฝึกฝนทักษะสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ความตระหนักรู้ทางสังคม (Social Consciousness), ความสามารถในการสะท้อนตนเอง (Self-Reflection) และความรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibility) ซึ่งล้วนเป็นคุณลักษณะที่ตลาดแรงงานและสังคมให้ความสำคัญ ในระดับมหาวิทยาลัย โครงการเช่นนี้คือบทพิสูจน์ของการเป็น “มหาวิทยาลัยที่รับผิดชอบต่อสังคม” (University Social Responsibility: USR) ซึ่งไม่ได้วัดความสำเร็จจากอันดับมหาวิทยาลัยหรือจำนวนงานวิจัยเพียงเท่านั้น แต่รวมถึงบทบาทในการสร้างพลเมืองที่มีหัวใจเพื่อส่วนรวม และสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้อย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน ในระดับเชิงนโยบาย กิจกรรมรูปแบบนี้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติอย่างชัดเจน ได้แก่ SDG 4 (การศึกษาที่เท่าเทียมและมีคุณภาพ), SDG 10 (ลดความเหลื่อมล้ำ) และ SDG 11 (การพัฒนาเมืองที่ครอบคลุมและปลอดภัยสำหรับทุกคน) ซึ่งเน้นย้ำว่าการพัฒนาที่แท้จริงไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากยังมีบางกลุ่มถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง การเรียนรู้แบบนี้จึงเป็นมากกว่าการจัดกิจกรรมเพื่อความเข้าใจ หากแต่คือการบ่มเพาะวิธีคิดของคนรุ่นใหม่ให้พร้อมจะเป็นทั้ง “ผู้เปลี่ยนแปลง” และ “ผู้ร่วมสร้าง” สังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สังคมที่คุณค่าของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถทางกายภาพ หากขึ้นอยู่กับการเคารพซึ่งกันและกันในฐานะที่ต่างก็เป็น "ผู้เรียนรู้ร่วมกัน"
กิจกรรมดี ๆ ครั้งนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของหลายภาคส่วนใน มจธ. ไม่ว่าจะเป็นหน่วยบริการสนับสนุนนักศึกษาพิการ ภาควิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ และศูนย์การศึกษาต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นอกจากนี้ ยังได้แรงสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายภายนอกอย่าง รองศาสตราจารย์ ดร.อาดัม นีละไพจิตร จากสถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และคุณจินรัตน์ เทียมอริยะ ที่ปรึกษามูลนิธินวัตกรรมทางสังคม พร้อมด้วยทีมงานผู้มากประสบการณ์ที่มาร่วมแบ่งปันความรู้และแรงบันดาลใจอย่างอบอุ่น
บรรยากาศกิจกรรม https://vt.tiktok.com/ZSrqVx1g5/
ผู้สอนรายวิชา SSC262 พัฒนาการเรียนรู้ (Learning Development): ภาสนันทน์ อัศวรักษ์/ สุทธิพงษ์ เรืองจันทร์/ สุรัตน์ เพชรนิล
รายการอ้างอิง
United Nations. (2015). Transforming our world: the 2030 Agenda for Sustainable Development.
UNESCO. (2009). The New Dynamics of Higher Education and Research for Societal Change and Development: WCHE Communiqué.
Kolb, D. A. (1984). Experiential learning: Experience as the source of learning and development. Prentice Hall.
Rawls, J. (1971). A Theory of Justice. Harvard University Press.
Sen, A. (1999). Development as Freedom. Oxford University Press.
UNESCO. (2021). Inclusive and Equitable Education: Leaving No One Behind.
Categories
Hashtags