ผศ.ดร.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์
“เขาคิดแบบรุ่นเขา เราคิดแบบรุ่นเรา”
ประโยคสั้น ๆ ที่อาจฟังดูเป็นคำแก้ตัว แต่แท้จริงแล้วอาจสะท้อนรอยต่อบางอย่างที่ต้องการสะพานเชื่อมมากกว่าการกั้นรั้วรอบ
จากอายุสู่จิตวิญญาณของเจเนอเรชัน
คำว่า “Generation” หรือ “ช่วงวัย” ไม่ได้เป็นเพียงศัพท์ทางประชากรศาสตร์ที่ใช้จัดกลุ่มคนตามช่วงอายุเท่านั้น แต่ยังเป็นประตูสู่การเข้าใจมนุษย์ในฐานะ “ผลผลิตของเวลา” ช่วงวัยจึงไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่เป็นเรื่องของโลกที่คนแต่ละรุ่นเติบโตมาท่ามกลางเหตุการณ์ ความหวัง ความกลัว และเทคโนโลยีที่แตกต่างกัน
นักสังคมวิทยา Karl Mannheim เคยอธิบายว่า ประสบการณ์ร่วมของคนในช่วงเวลาเดียวกัน เช่น สงคราม การล่มสลายของเศรษฐกิจ หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี คือสิ่งที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งกลายเป็น “เจเนอเรชัน - ช่วงวัย” ซึ่งจะส่งผลต่อค่านิยม ทัศนคติ และวิธีมองโลกของพวกเขาไปตลอดชีวิต
เมื่อสังคมเปลี่ยนเร็วกว่าเดิม ด้วยพลังของเทคโนโลยีและโลกาภิวัตน์ การทำความเข้าใจช่วงวัยต่าง ๆ จึงมีความสำคัญไม่ใช่แค่ในเชิงสังคมศาสตร์ แต่ยังจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในครอบครัว องค์กร และประเทศ
ช่วงวัย: เกณฑ์อายุและบริบทที่หล่อหลอม
แม้ไม่มีเส้นแบ่งที่แน่นอน นักวิจัยและนักสื่อสารสังคมมักแบ่งช่วงวัยออกตามช่วงปีเกิดที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์สำคัญของโลก ดังนี้
Silent Generation (1928–1945) อายุในปี 2025: 80–97 ปี
เติบโตในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) คนรุ่นนี้ผ่านความยากลำบากในวัยเด็กจึงซึมซับวินัย ความอดทน และความสำเร็จจากการพากเพียร เจียมตน
นิยามรุ่น: “อดทนเพื่อความมั่นคง”
Baby Boomers (1946–1964) อายุ: 61–79 ปี
ช่วงหลังสงครามโลกคือยุคฟื้นฟูและขยายตัวของเศรษฐกิจ ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด คนรุ่นนี้เติบโตในครอบครัวขยาย มีความมั่นใจในระบบงานแบบอุตสาหกรรม เชื่อในสถาบัน และมอง “ความสำเร็จ” วัดได้จากบ้าน รถ และเงินเกษียณ
นิยามรุ่น: “สร้างรากฐานด้วยแรงงาน”
Generation X (1965–1980) อายุ: 45–60 ปี
ลูกหลานของ Boomers ที่เติบโตในโลกที่เริ่มเปลี่ยน ท่ามกลางความไม่มั่นคงของครอบครัว (เช่น การหย่าร้างที่เพิ่มขึ้น) และการเริ่มต้นของเทคโนโลยีใหม่ (คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นเทป วิดีโอเกม) พวกเขาเติบโตด้วยการ “ดูแลตัวเอง” จนพัฒนาเป็นนักอยู่รอดและนักประสานความต่าง
นิยามรุ่น: “โลกไม่แน่นอน ฉันต้องพึ่งพาตนเอง”
Millennials หรือ Gen Y (1981–1996) อายุ: 29–44 ปี
คนรุ่นที่เติบโตมากับอินเทอร์เน็ต การสื่อสารไร้สาย และโลกที่เปลี่ยนเร็วทุกวัน พวกเขาเป็นรุ่นที่มีการศึกษาสูง แต่กลับเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่เริ่มทำงาน จึงหันไปแสวงหาความหมายในชีวิตแทนการไต่บันไดองค์กร
นิยามรุ่น: “ใช้ชีวิตให้มีความหมาย มากกว่าความมั่นคง”
Generation Z (1997–2012) อายุ: 13–28 ปี
เกิดมาพร้อมสมาร์ตโฟน แท็บเล็ต และโลกที่ไม่เคยหลับ คนรุ่นนี้เสพข้อมูลหลายแหล่ง พูดได้หลายภาษา (รวมถึง meme และ emoji) และตั้งคำถามกับระบบเดิมอย่างลึกซึ้ง พวกเขาเผชิญโควิด-19 วิกฤตโลกร้อน และความเหลื่อมล้ำตั้งแต่เด็ก จึงตื่นตัวทางการเมืองและมีความเปราะบางทางอารมณ์
นิยามรุ่น: “เปิดรับและตั้งคำถาม”
Generation Alpha (2013–ปัจจุบัน) อายุ: 0–12 ปี
เด็ก ๆ รุ่นใหม่นี้กำลังเติบโตในโลกที่ AI ไม่ใช่เรื่องอนาคต แต่คือเพื่อนร่วมโต๊ะเรียน เทคโนโลยีผสานในทุกด้านของชีวิต พวกเขาอาจไม่ได้รู้จักคำว่า “โลกก่อนอินเทอร์เน็ต” และเป็นช่วงวัยแรกที่มีผู้ปกครองเป็นวัย Millennials
นิยามรุ่น: “เกิดมาในโลกดิจิทัลที่เต็มไปด้วยคำถามใหม่”
เมื่อวัยมาเจอกัน: การทำงานร่วมกันในยุคเจเนอเรชันไขว้
ในสำนักงานเดียวกันวันนี้ อาจมีถึง 4 เจเนอเรชันนั่งทำงานร่วมกัน ตั้งแต่ Baby Boomers ที่ใช้โพสต์อิท ไปจนถึง Gen Z ที่ใช้ Notion และ AI เป็นเครื่องมือประจำวัน ความต่างนี้ไม่ใช่แค่เรื่อง “สื่อ” แต่คือเรื่อง “มุมมอง”
Boomers มักยึดหลัก “ทำให้ดีที่สุด” โดยเชื่อในระบบชั้นและความชัดเจน
Gen X มองหา “ทางสายกลาง” ระหว่างกฎเกณฑ์และความยืดหยุ่น
Millennials อยากเห็น “ความหมาย” ในงาน และชอบวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นกันเอง
Gen Z ต้องการ “เสียง” ในการตัดสินใจ และไม่กลัวการตั้งคำถาม
การทำงานข้ามเจเนอเรชันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีความเข้าใจใน “บริบทของกันและกัน” เช่น การที่หัวหน้า Baby Boomer อาจมองว่าลูกน้อง Gen Z เปลี่ยนงานบ่อย แต่จริง ๆ แล้วคนรุ่นใหม่มองว่า “ชีวิตสั้นเกินกว่าจะทนกับองค์กรที่ห่วยแตก”
คำศัพท์ของแต่ละ Generation: ภาษาที่บอกตัวตนและยุคสมัย
ภาษาของแต่ละรุ่นไม่ใช่เพียง "คำใหม่" หากแต่เป็นรหัสที่ผู้คนในรุ่นนั้นใช้สร้างตัวตน เชื่อมโยงกลุ่ม และบอกว่าพวกเขาเข้าใจโลกอย่างไร
Silent Generation (เกิด 1928–1945)
เจียมตัว — อยู่ในกรอบ รู้จักประมาณตน เป็นค่านิยมสำคัญของยุคหลังสงคราม
ทำมาหากินสุจริต — เน้นความซื่อสัตย์ ความอดทน เป็นรากฐานของชีวิต
อย่าเผลอ — คำเตือนให้ระวังตัวอยู่เสมอ สะท้อนยุคที่โลกไม่ปลอดภัย
Baby Boomers (เกิด 1946–1964)
น้ำขึ้นให้รีบตัก — คำสอนเรื่องการไขว่คว้าโอกาสเมื่อมีจังหวะ
ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น — ความมั่นคงทางคำพูดคือเกียรติ
วิ่งเต้น — ภาษาที่สะท้อนสังคมระบบอุปถัมภ์ยุคนั้น
Generation X (เกิด 1965–1980)
แหกคอก — กล้าทำในสิ่งที่ต่างจากกรอบเดิม เป็นยุคแห่งการแสดงออก
แก๊งค์ — กลุ่มเพื่อนสนิท เป็นวัฒนธรรมของวัยรุ่นยุคเทปคาสเซ็ตต์
ดักแก่ — ใช้เรียกสิ่งของ/ความทรงจำที่ย้อนวัย เช่น “เพลงนี้ดักแก่ชัดๆ”
จ๊าบ - ดีมาก เจ๋งสุด ๆ
Millennials (Gen Y) (เกิด 1981–1996)
ฟิน — มาจาก "fantasy" ใช้เมื่อรู้สึกดี มีความสุขสุดขีด
ติ่ง — แฟนคลับผู้ทุ่มเท มาจากวัฒนธรรมเกาหลีแต่ขยายครอบคลุมทุกวงการ
อินดี้ — คนไม่ตามกระแส มีแนวคิดของตนเอง
Adulting — การทำหน้าที่ผู้ใหญ่ เช่น จ่ายบิล ทำอาหาร (ศัพท์ยืมจากภาษาอังกฤษ)
Generation Z (เกิด 1997–2012)
ด้อม — ชุมชนแฟนคลับ เช่น “อยู่ด้อมไหน”
เท — ทิ้ง เช่น “เธอเทฉัน”
ปังไม่ไหว — ดีเวอร์ เจ๋งสุด ๆ
No cap — พูดจริง ไม่โกหก (คำแสลงจากอังกฤษ)
Vibe — บรรยากาศ ความรู้สึก เช่น “ร้านนี้ vibe ดีมาก”
Generation Alpha (เกิด 2013–ปัจจุบัน)
ซัส (Sus) — ย่อจาก suspicious = น่าสงสัย (มาจากเกม Among Us)
สเลย์ (Slay) — ปัง เก่ง สวยเด่น เช่น "วันนี้เธอสเลย์มาก"
ริซ (Rizz) — มีเสน่ห์ในการพูด/จีบ
สกีบีดี้ (Skibidi) - ไม่ดีหรือห่วย
โอไฮโอ้ (Ohio) แปลกหรือไม่ดี
ดีลูลู (Delulu) มโนกันไปเอง
ซิกม่า (Sigma) เป็นคนที่โดดเด่น
คำเหล่านี้อาจฟังดูไม่มีสาระ แต่เมื่อเรามองลึกลงไป มันคือคำอธิบายย่อของยุคสมัย คำของรุ่นก่อนแสดงถึงค่านิยมวินัยและความอดทน คำของรุ่นหลังสะท้อนเสรีภาพ ความเป็นปัจเจก และความไวต่ออารมณ์ เมื่อเรามองคนผ่านคำว่า “เจเนอเรชัน” เราไม่ได้กำลังจำกัดเขาไว้ในกล่อง แต่กำลังพยายามเข้าใจว่าเขามาจากโลกแบบไหน เติบโตมากับความหวังแบบใด และเรียนรู้ที่จะอยู่รอดอย่างไร
เจเนอเรชันคือกระจกที่สะท้อนว่าสังคมเปลี่ยนอย่างไร และถ้าเราเปิดใจ เราอาจเห็นว่า คนแต่ละรุ่นไม่ใช่แค่ “คนต่างวัย” แต่คือ “ผู้ร่วมเดินทางในโลกเดียวกัน”
Categories
Hashtags