ภูมิปัญญากับคนรุ่นใหม่: ไปด้วยกันได้ไหม
Published: 9 October 2025
292 views

ภูมิปัญญากับคนรุ่นใหม่: ไปด้วยกันได้ไหม

ของเก่ากับของใหม่ ต้องเลือกข้างไหม? นี่อาจเป็นคำถามที่เราได้ยินบ่อยในยุคที่ทุกอย่างดูหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ คำว่า ภูมิปัญญา มักถูกมองว่าเชื่องช้า ล้าสมัย หรือเป็นเพียงของตกค้างจากอดีต ส่วนคำว่า คนรุ่นใหม่ กลับถูกเชื่อมโยงกับความเร่งรีบ นวัตกรรม และโลกดิจิทัลที่ไม่มีวันหยุด

แต่ถ้าเรามองให้ลึก — ทั้งสองสิ่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกันเลย

ภูมิปัญญาคือ “ราก” ส่วนคนรุ่นใหม่คือ “ใบอ่อน”

ต้นไม้ต้นเดียวกันจะเติบโตได้ ก็ต่อเมื่อรากยังลึก และใบยังยืดไปข้างหน้า

1. ภูมิปัญญาไม่ได้แก่ มันแค่ไม่รีบ

เรามักพูดกันว่าโลกยุคใหม่ต้องเร็ว ต้องเปลี่ยน ต้องวิ่งให้ทัน

แต่บางครั้งสิ่งที่ “ช้า” กลับเป็นสิ่งที่ “แม่น” และ “มั่นคง”

ภูมิปัญญาคือความรู้ที่ผ่านการทดสอบของเวลา ผ่านมือ ผ่านชีวิต

เป็นองค์ความรู้ที่อิงกับธรรมชาติและมนุษย์ มากกว่ากับตัวเลขหรือการตลาด

อย่างในภาคเหนือ กลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่จัดกิจกรรม “ยายคำสอนทำข้าวหลาม”แต่แทนที่จะสอนแบบโบราณ พวกเขาถ่ายคลิปลง YouTube พร้อมอธิบายหลักการทางวิทยาศาสตร์ของการเผาข้าวหลาม อุณหภูมิการเผา การนำความร้อนของไม้ไผ่ การระเหยของน้ำ และการเก็บความชื้นในข้าวเหนียว ผลคือ เด็ก ๆ รุ่นใหม่ได้ทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และได้เรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมไปพร้อมกัน

“ภูมิปัญญาไม่เคยเก่า มันแค่พูดภาษาที่เรายังไม่ได้ฟัง”

2. เมื่อของเก่าได้พื้นที่ทดลองใหม่

สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดของคนรุ่นใหม่ คือพวกเขา “กล้าทดลอง” และการที่ภูมิปัญญาได้เข้าไปอยู่ในมือของคนกล้า มันจึงไม่ใช่การทำซ้ำ แต่คือการตีความใหม่ ลองมองไปที่วงการแฟชั่น

ดีไซเนอร์รุ่นใหม่หยิบผ้าฝ้ายทอมือมาทำชุดร่วมสมัย เธอไม่แค่ขายความงามของผ้า แต่เล่าเรื่องของชุมชนผู้ทอผ่าน QR code ที่ติดอยู่บนป้ายเสื้อ ลูกค้าสามารถสแกนดูได้ว่าผืนผ้านั้นมาจากหมู่บ้านใด ใครเป็นผู้ทอ และมีเรื่องราวอย่างไร หรือศิลปินบางคนเลือกใช้เทคนิคย้อมสีธรรมชาติจากคราม ขมิ้น และเปลือกไม้ มาผสมกับงานดิจิทัลอาร์ต จนเกิดงาน NFT ที่มีกลิ่นอายของ “ความเป็นไทย” อย่างคาดไม่ถึง

ภูมิปัญญาในมือของคนรุ่นใหม่ ไม่ได้หายไป มันแค่เปลี่ยนร่างจากของใช้เป็นงานศิลป์ จากของพื้นบ้านเป็นของร่วมสมัย

3. แลกเปลี่ยน ไม่ใช่สอนฝ่ายเดียว

ในอดีต การส่งต่อภูมิปัญญามักมาในรูปของ “การถ่ายทอด” ผู้เฒ่าสอน เด็กฟัง

แต่วันนี้ โลกเปลี่ยนไป การเรียนรู้กลายเป็นสองทาง

คนรุ่นใหม่ไม่ได้อยากแค่รับรู้ แต่เขาอยากร่วมสร้าง

โครงการ “ช่างไม้รุ่นพ่อ – ดีไซน์รุ่นลูก” ในจังหวัดลำปางคือหนึ่งในตัวอย่าง

นักออกแบบรุ่นใหม่จากกรุงเทพฯ ลงพื้นที่เรียนรู้เทคนิคแกะไม้จากช่างพื้นบ้าน

ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็สอนการใช้โปรแกรมออกแบบ 3D ให้กับช่างรุ่นพ่อ

เกิดเป็นผลงานเฟอร์นิเจอร์ที่ยังคงเอกลักษณ์ของไม้ไทย แต่มีดีไซน์ที่เข้ากับบ้านยุคใหม่

ภูมิปัญญาไม่ได้ต้องการคนมานั่งท่องจำ แต่ต้องการ “คู่สนทนา” คนที่พร้อมฟัง พร้อมแลกเปลี่ยน และพร้อมร่วมคิด

4. ภูมิปัญญา = ความยั่งยืนแบบเนียน ๆ

ทุกวันนี้เราพูดถึงคำว่า “Sustainability” จนกลายเป็นคำแฟชั่น

แต่ถ้าย้อนกลับไปดูวิถีดั้งเดิมของไทย มันเต็มไปด้วยแนวคิดนี้อยู่แล้ว

บ้านไม้ใต้ถุนสูง ไม่ใช่แค่สวย แต่ช่วยระบายอากาศและป้องกันน้ำท่วม

การใช้เถ้าข้าวเปลือกเป็นปุ๋ย คือการรีไซเคิลก่อนคำนี้จะถือกำเนิด

หรือแม้แต่การปลูกพืชหมุนเวียนที่ช่วยรักษาดิน ล้วนเป็นภูมิปัญญาที่ “ล้ำยุคอย่างเงียบ ๆ”

ในขณะที่โลกกำลังวิ่งตามเทรนด์เทคโนโลยีสีเขียว ภูมิปัญญาท้องถิ่นกลับสอนเรามานานแล้วว่า ความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่มันคือการ “อยู่ให้พอดีกับโลก”

5. ถ้ามีระบบที่ดี ภูมิปัญญาก็มีอนาคต

การสืบทอดภูมิปัญญาไม่ควรจำกัดอยู่ในกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม

แต่ควรถูกออกแบบให้เป็น “ระบบการเรียนรู้ข้ามรุ่น” ที่เกิดขึ้นได้จริงในทุกระดับ

บางมหาวิทยาลัยเปิดวิชาให้เด็กไปทำงานร่วมกับชุมชนจริง บางโครงการขององค์กรภาครัฐสนับสนุนทุนให้เยาวชนออกแบบนวัตกรรมจากภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น “ทุนเยาวชนภูมิปัญญาใหม่” ที่เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์โดยอิงจากองค์ความรู้ของผู้เฒ่าในหมู่บ้าน หรือ “Social Innovation Camp” ที่จับคู่ดีไซเนอร์กับช่างฝีมือ เพื่อออกแบบของใช้ที่ขายได้จริงในตลาด

เมื่อระบบสนับสนุนดี — ภูมิปัญญาจะไม่กลายเป็นของสะสมในตู้กระจก

แต่จะกลายเป็น “ทุนชีวิต” ที่หมุนเวียนอยู่ในสังคมร่วมสมัย

ภูมิปัญญาไม่ต้องการคนจำ แต่มันต้องการคนต่อ

ภูมิปัญญาไม่เคยขอให้ใครจดจำมันอย่างเคร่งครัด

สิ่งที่มันต้องการ คือคนที่ “เข้าใจหัวใจของมัน” และ “กล้าต่อเติมให้เหมาะกับยุค”

Categories

Comments
To join the comment, please sign in.
Sign in
Don’t have an account? Register
Loading comments...