ผศ.ดร.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์
ลองจินตนาการถึงเด็กคนหนึ่งที่เติบโตมาในชุมชนชนบท มีรายได้น้อย ไม่มีโต๊ะเขียนหนังสือประจำบ้าน ไม่มีหนังสือเล่มใหม่ให้เปิดอ่าน ไม่มีโอกาสเรียนพิเศษเหมือนเพื่อนในเมือง แต่ในห้องสอบระดับนานาชาติ เขากลับทำคะแนนสอบได้สูงจนกลายเป็นหนึ่งใน “นักเรียนช้างเผือก” ของประเทศไทย เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นจริงและเบื้องหลังความสำเร็จนั้น มีคำสำคัญที่น่าสนใจ นั่นคือ “Growth Mindset”
Growth Mindset คืออะไร?
"Growth Mindset" หรือกรอบความคิดแบบเติบโต เป็นแนวคิดที่นักจิตวิทยา Carol Dweck เสนอไว้ในช่วงทศวรรษ 2000 โดยหมายถึง ความเชื่อว่าความสามารถของเราสามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายาม การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด และการยอมรับความท้าทาย คนที่มี Growth Mindset จะมองอุปสรรคว่าเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่จุดจบของชีวิต ในทางกลับกัน คนที่มี “Fixed Mindset” จะเชื่อว่าความสามารถเป็นสิ่งตายตัว ถ้าไม่เก่งก็จะไม่เก่งตลอดไป หากเจอความล้มเหลวก็จะมองว่าเป็นข้อพิสูจน์ของความไร้ความสามารถของตนเอง
สำหรับนักเรียนช้างเผือก เด็กไทยที่อาจไม่มีทุนทรัพย์มากนักแต่มีผลสอบระดับสูงจากโครงการ PISA for Schools ปี 2564 พวกเขาแสดงให้เห็นว่า ความเชื่อในศักยภาพของตนเองสามารถผลักดันให้ฝ่าฟันข้อจำกัดมากมายได้
เบื้องหลังการสร้าง Growth Mindset ไม่ใช่แค่ “เด็กเก่ง”
จากการศึกษาของทีมวิจัยภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า นักเรียนที่สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างโดดเด่นมักไม่ได้เป็น “เด็กเทพ” ตั้งแต่ต้น หากแต่เติบโตมาท่ามกลางแรงผลักดันทั้งภายในและภายนอกที่หล่อหลอมให้พวกเขา “เชื่อว่าตนเองพัฒนาได้” หัวใจสำคัญของการสร้าง Growth Mindset คือบริบทที่ “เกื้อหนุน” ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ครู โรงเรียน เพื่อน และชุมชน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่ทำให้เด็กกลุ่มนี้กล้าเผชิญปัญหาและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างเช่น ครอบครัวของนักเรียนช้างเผือกบางคนอาจไม่สามารถช่วยติววิชาเรียนให้ลูกได้ แต่กลับมีบทบาทอย่างมากในการสร้างแรงบันดาลใจด้วยการปลูกฝังคุณค่าของความพยายาม และการให้กำลังใจในทุกครั้งที่ล้มเหลว ซึ่งคือ การสร้างแรงผลักภายใน ขณะเดียวกัน ครูในโรงเรียนก็เป็นเสมือน “แรงหนุน” ที่สำคัญมาก เพราะครูไม่ได้แค่ถ่ายทอดความรู้ แต่ยังเป็นผู้มองเห็นศักยภาพในตัวเด็ก สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กกล้าลองผิดลองถูกและพัฒนาตัวเองได้อย่างไม่กลัวความล้มเหลว
ภาพจากชีวิตจริง เมื่อเด็กยากจนเชื่อว่าเขา “เก่งขึ้นได้”
เด็กชายคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มช้างเผือกเล่าว่า เขาเคยเกือบลาออกจากโรงเรียน เพราะครอบครัวมีหนี้สิน ไม่มีเงินไปสอบแข่งขันระดับจังหวัด แต่เมื่อครูประจำชั้นเห็นศักยภาพ จึงช่วยสนับสนุนให้เขาได้เข้าร่วมแข่งขัน และนั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิต จากความกลัวกลายเป็นความมั่นใจ เขาเริ่มเชื่อว่า “พยายามอีกนิด ฉันก็เก่งขึ้นได้” นั่นคือช่วงเวลาที่ Growth Mindset เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของเด็กหญิงจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ต้องเดินทางไกลกว่า 10 กิโลเมตรทุกวันเพื่อไปโรงเรียน เธอไม่เคยได้รับการเรียนพิเศษ ไม่เคยมีคอมพิวเตอร์ที่บ้าน แต่กลับสามารถทำคะแนนวิทยาศาสตร์ได้ในระดับสูงสุดในโรงเรียน โดยเธอบอกว่า “ทุกครั้งที่ทำข้อสอบผิด ฉันจะไม่โกรธตัวเอง แต่จะหาวิธีทำให้ถูกในครั้งต่อไป เพราะฉันรู้ว่าฉันเรียนรู้ได้” สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า Growth Mindset ไม่ได้มาจาก “ความเก่งแต่กำเนิด” แต่มาจาก “ความเชื่อในพลังของการพัฒนา”
โรงเรียน สถานที่ปลูกฝังหรือบั่นทอน?
งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า บางครั้งโรงเรียนเองอาจไม่ได้เป็นพื้นที่เกื้อหนุนเท่าที่ควร โดยเฉพาะในระบบที่เน้นการแข่งขัน หรือวัดความสามารถจากการสอบเพียงอย่างเดียว นักเรียนบางคนที่มีความสามารถหลากหลาย แต่ไม่ได้ถนัดด้านวิชาการ อาจสูญเสียความมั่นใจและไม่สามารถพัฒนา Growth Mindset ได้อย่างเต็มที่ ในทางตรงข้าม โรงเรียนที่มีแนวคิด “เข้าใจความแตกต่างของผู้เรียน” และสนับสนุนให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น โครงงาน การตั้งคำถาม การเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริง (Experiential Learning) กลับสามารถดึงศักยภาพของเด็กออกมาได้มากกว่า และช่วยสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้
เทคโนโลยี: เครื่องมือช่วยหรือดาบสองคม?
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือบทบาทของเทคโนโลยี งานวิจัยพบว่า หากนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนรู้อย่างเหมาะสม เช่น การใช้แอปพลิเคชันการเรียนรู้ที่มีระบบป้อนกลับอัตโนมัติ หรือการให้เด็กได้เข้าถึงสื่อการเรียนรู้ที่เขาสนใจ จะช่วยสร้างแรงจูงใจและทำให้เด็กเห็นพัฒนาการของตนเองได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของ Growth Mindset แต่หากเทคโนโลยีถูกใช้ในทางที่เน้นแข่งขันหรือเปรียบเทียบกัน เช่น การจัดอันดับนักเรียนแบบเปิดเผย หรือระบบคะแนนที่ไม่มีโอกาสแก้ตัว ก็อาจกลายเป็นแรงกดดันที่บั่นทอนกำลังใจของนักเรียนบางกลุ่ม
จากข้อเสนอการวิจัยสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
งานวิจัยฉบับนี้ไม่ได้จบลงแค่บทสรุปทางวิชาการ แต่ยังเสนอนโยบายเชิงรุกสำหรับรัฐและสถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการอบรมครูให้เข้าใจแนวคิด Growth Mindset การส่งเสริมระบบพี่เลี้ยงหรือเพื่อนช่วยเพื่อนในโรงเรียน การออกแบบหลักสูตรที่เน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ และการสนับสนุนเครื่องมือการเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความแตกต่างของผู้เรียน สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้การสร้าง Growth Mindset ไม่ใช่เพียงหน้าที่ของเด็ก แต่เป็นความร่วมมือของทั้งระบบ
อนาคตที่เติบโตได้ เริ่มจากความเชื่อว่า “พัฒนาได้”
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราไม่สามารถคาดเดาอนาคตของเด็กได้จากแค่เกรดในวันนี้ แต่สิ่งที่เราทำได้ คือสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้พวกเขา “เชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง” ไม่กลัวความล้มเหลว และมองว่าความยากลำบากคือบทเรียนหนึ่งของชีวิต เพราะเมื่อใดก็ตามที่เด็กคนหนึ่งเชื่อว่าเขา “เก่งขึ้นได้” โลกทั้งใบของเขาก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล
รายการอ้างอิง
ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ และคณะ. (2566). การศึกษาบริบทที่เกื้อหนุนต่อพฤติกรรมเชิงบวกในการเรียนและการมีกรอบแนวคิดแบบเติบโต (Growth Mindset) ของนักเรียนกลุ่มช้างเผือก. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.).
Dweck, C. S. (2006). Mindset: The new psychology of success. Random House.
Claro, S., Paunesku, D., & Dweck, C. S. (2016). Growth mindset tempers the effects of poverty on academic achievement. Proceedings of the National Academy of Sciences, 113(31), 8664-8668.
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.). (2565). รายงานผลสอบ PISA for Schools ประเทศไทย ปี 2564. กรุงเทพฯ: กสศ.
สำนักสถิติแห่งชาติ และ UNICEF ประเทศไทย. (2564). รายงานสถานการณ์เด็กและความยากจนในประเทศไทย.
Categories
Hashtags