พลังงานในจินตนาการ เมื่อความเชื่อของสังคมกลายเป็น “กับดัก”
ของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน
เวลาค่าไฟขึ้น เราบ่น เวลาไฟดับ เราโกรธ
แต่พอพูดถึงการเปลี่ยนผ่านพลังงาน เรากลับรู้สึกว่า “มันไม่เกี่ยวกับเรา”
การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเรายังคิดว่า “มันไม่ใช่เรื่องของเรา”
ลองจินตนาการภาพอนาคตของพลังงานไทย เมืองที่ไฟฟ้าไม่เคยดับ รถยนต์ทุกคันเป็นไฟฟ้า โรงไฟฟ้าใหม่ทันสมัย และเศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง
ภาพเหล่านี้ฟังดูดีและคุ้นเคยใช่ไหม
แต่งานวิจัยของ GIZ (Imaginary Lock-Ins and Thailand’s Uneven Energy Transition, 2025) กลับชวนให้เราหยุดคิดว่า “ภาพฝันแบบนี้” อาจเป็นสิ่งที่กำลังทำให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านพลังงานได้ช้ากว่าที่ควร คำว่า “Imaginary Lock-ins” หรือ “กับดักทางจินตภาพ” หมายถึง การที่ความเชื่อ ค่านิยม และภาพในใจของผู้คนเกี่ยวกับพลังงาน กลายเป็นแรงที่ “ล็อก” ระบบให้เดินอยู่ในเส้นทางเดิม แม้เราจะรู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงก็ตาม
1️⃣ พลังงานไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค แต่คือ “การเมืองของจินตนาการ”
ที่ผ่านมา เวลาพูดถึง “การเปลี่ยนผ่านพลังงาน” (energy transition) เรามักคิดถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น โซลาร์เซลล์ กังหันลม รถไฟฟ้า หรือไฮโดรเจนสีเขียว แต่รายงานของ GIZ ชี้ว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เราขาดเทคโนโลยี หากแต่อยู่ที่ “โครงสร้างความคิด” ของผู้คนในสังคม เพราะพลังงานไม่ใช่เรื่องเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ “การเมือง” และ “อำนาจในการจินตนาการอนาคต”
ใครเป็นคนกำหนดว่าอนาคตแบบไหนคือสิ่งที่ดี
ใครมีสิทธิจะฝัน
ใครต้องอยู่กับผลลัพธ์ของความฝันนั้น
ในประเทศไทย จินตภาพหลักที่ครอบงำมานานคือ “พลังงานต้องมั่นคง” และ “เศรษฐกิจต้องเติบโต” สองคำนี้ฟังดูปลอดภัย แต่กลับผลักดันให้เรายึดติดกับโครงสร้างพลังงานแบบรวมศูนย์ การผลิตขนาดใหญ่ และระบบที่ประชาชนเป็นเพียง “ผู้ใช้” ไม่ใช่ “ผู้กำหนด” หรือ “ผู้ผลิต”
2️⃣ 4 กลไกที่ล็อกพลังงานไทยไว้กับโครงสร้างเดิม
งานวิจัยได้สรุปว่า “Imaginary Lock-ins” ของไทยมีรากอยู่ใน 4 มิติสำคัญที่เชื่อมโยงกันทั้งด้านเทคโนโลยี เศรษฐกิจ การเมือง และสังคม
1. เทคโนโลยีที่ย้อนกลับไม่ได้ (Technological Path Dependency)
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไทยลงทุนอย่างมหาศาลในโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่และระบบสายส่งไฟฟ้าแบบรวมศูนย์ และเมื่อระบบทั้งหมดออกแบบมาสำหรับ “พลังงานฟอสซิล” การจะหันไปสู่พลังงานหมุนเวียนจึงไม่ง่าย เช่น โครงการโซลาร์เซลล์ขนาดเล็กในชุมชนอาจไม่สามารถเชื่อมเข้าระบบใหญ่ได้ เพราะมาตรฐานทางเทคนิคและกฎระเบียบไม่ได้เอื้อต่อการกระจายอำนาจด้านพลังงาน ผลคือ แม้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดจะพัฒนาเร็ว แต่โครงสร้างพื้นฐานกลับเป็น “กำแพงที่มองไม่เห็น” ที่ขวางการเปลี่ยนผ่านอยู่เสมอ
2. กลไกทางเศรษฐกิจและการเงินที่ยังผูกขาด (Economic & Financial Barriers)
ในเชิงเศรษฐกิจ การลงทุนด้านพลังงานของไทยยังขึ้นอยู่กับกลุ่มทุนรายใหญ่และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งให้ความสำคัญกับ “ความมั่นคงของผลตอบแทน” มากกว่าความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม โครงการพลังงานชุมชนหรือพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมักไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่าย เพราะถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูงและคืนทุนช้า ขณะที่โครงการขนาดใหญ่กลับได้รับการสนับสนุนจากรัฐเต็มที่ จึงไม่น่าแปลกที่ “พลังงานสะอาด”ในไทยยังถูกมองว่าเป็นเรื่องของคนมีทุนมากกว่าพลังของประชาชน
3. สถาบันและการเมืองที่ล็อกอำนาจไว้ (Political & Institutional Lock-ins)
โครงสร้างสถาบันด้านพลังงานไทยยังมีลักษณะรวมศูนย์สูง หน่วยงานหลักอย่างกระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) หรือหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ มักมีบทบาทซ้อนกันระหว่าง “ผู้กำหนดนโยบาย” และ “ผู้เล่นในตลาด” การตัดสินใจด้านพลังงานจึงมักเกิดขึ้นในระดับบนโดยขาดกระบวนการรับฟังจากภาคประชาชนหรือท้องถิ่น ขณะเดียวกัน ระบบราชการที่ซับซ้อนและกฎระเบียบล้าหลัง ยังทำให้แนวคิดใหม่ ๆ เช่น การผลิตไฟฟ้าใช้เอง (prosumer) หรือการซื้อขายพลังงานระหว่างประชาชน (peer-to-peer energy trading) ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในเร็ววัน
4. พฤติกรรมและบรรทัดฐานของสังคม (Behavioral & Societal Norms)
การเปลี่ยนผ่านพลังงานยังติดอยู่ใน “จิตวิทยาสังคม” คนจำนวนมากคุ้นชินกับการใช้พลังงานราคาถูก และไม่รู้สึกถึงต้นทุนสิ่งแวดล้อมของการผลิตไฟฟ้า ในขณะเดียวกัน พลังงานหมุนเวียนมักถูกมองว่าเป็นของคนชั้นกลางหรือโครงการไกลตัว เช่น ฟาร์มกังหันลม หรือแผงโซลาร์บนหลังคาบ้านราคาแพง ทั้งที่ในหลายประเทศ “พลังงานสะอาด” ได้กลายเป็นพลังงานประชาชนไปแล้ว
3️⃣ พลังงานในฐานะ “ภาพฝันร่วมของสังคม”
สิ่งที่ทำให้งานวิจัยของ GIZ แตกต่างจากงานด้านพลังงานทั่วไป คือการมองพลังงานผ่านมิติทางวัฒนธรรมและสังคม นักวิจัยเสนอว่า “จินตภาพด้านพลังงาน” (energy imaginaries) คือภาพฝันหรือเรื่องเล่าร่วมของสังคมที่บอกเราว่า “พลังงานที่ดีควรเป็นอย่างไร”
ตัวอย่างเช่น
ภาพของ “โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มั่นคง” ทำให้รัฐเชื่อว่าโครงสร้างรวมศูนย์คือคำตอบ
ภาพของ “พลังงานสะอาดที่ต้องใช้เทคโนโลยีซับซ้อน” ทำให้คนทั่วไปคิดว่าตัวเองไม่มีส่วนร่วมได้
ภาพของ “การเติบโตทางเศรษฐกิจ” ที่ต้องมาพร้อมการใช้พลังงานมากขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้ว การเติบโตแบบยั่งยืนอาจเกิดจากการใช้พลังงานน้อยลง
ภาพฝันเหล่านี้จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันกลายเป็น “กรอบคิด” ที่กำหนดทิศทางของนโยบาย การลงทุน และพฤติกรรมของผู้คนทั้งประเทศ
4️⃣ ปลดล็อกจาก “กับดักทางจินตภาพ”
1. เปลี่ยนจากผู้ใช้เป็น “ผู้ร่วมสร้าง” การเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในระบบพลังงานเป็นกุญแจสำคัญ เช่น การส่งเสริม “พลังงานชุมชน” ที่ชาวบ้านสามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองหรือขายให้รัฐได้ รวมถึงการออกแบบนโยบายแบบ “prosumer” ที่ประชาชนเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
2. เปิดพื้นที่ให้จินตนาการใหม่เกิดขึ้น การเปลี่ยนผ่านไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเทคโนโลยี แต่คือการ “สร้างเรื่องเล่าใหม่” เกี่ยวกับพลังงาน เช่น การสื่อสารเรื่องพลังงานให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่ การใช้สื่อสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด และการให้เยาวชนหรือชุมชนได้ร่วมออกแบบอนาคตพลังงานของตนเอง
3. ปฏิรูปโครงสร้างและกติกา การเปิดเสรีพลังงานควรทำอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เพียงเพื่อเปิดตลาดให้เอกชนรายใหญ่ แต่ต้องกระจายโอกาสไปถึงท้องถิ่นและผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงการสร้างกลไกทางการเงินสีเขียวที่ช่วยให้คนทั่วไปเข้าถึงทุนได้จริง ไม่ต้องพึ่งแต่ธนาคารหรือรัฐวิสาหกิจ
5️⃣ พลังของจินตนาการร่วม ท้ายที่สุด “Imaginary Lock-ins” ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดเชิงวิชาการ แต่เป็นกระจกสะท้อนว่าสังคมเรากำลังถูก “ล็อก” ด้วยความคิดแบบใด ในวันที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยไม่อาจยืนอยู่กับที่ได้อีกต่อไป การปลดล็อกพลังงานจึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนเครื่องจักรหรือสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ แต่คือการเปลี่ยนวิธีที่เราคิดถึงพลังงาน จากเรื่องของ “ความมั่นคง” ไปสู่เรื่องของ “ความยั่งยืนและการมีส่วนร่วม” เพราะสุดท้ายแล้ว อนาคตพลังงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับว่า “เรากล้าฝันถึงพลังงานแบบใหม่หรือไม่” และ “เราจะร่วมกันสร้างความฝันนั้นให้เป็นจริงได้อย่างไร”
Categories
Hashtags