รักโลกในยุคโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: เมื่อศูนย์ข้อมูลและ AI กลายเป็น “ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่” ของโลก
Published: 28 November 2025
2 views

รักโลกในยุคโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล: เมื่อศูนย์ข้อมูลและ AI กลายเป็น “ผู้บริโภคพลังงานรายใหญ่” ของโลก


           ย้อนกลับไปในยุคอดีตกาลก่อนหน้านี้สักราว 10-20 ปีที่ผ่านมา เมื่อเรากล่าวกันถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ต่างก็มักบ่นพร่ำรำพืงถึงโรงงานอุตสาหกรรมเป็นเบอ์ต้นๆ หรือพวกควันจากท่อไอเสีย รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่า ขณะที่โลกในทุกวันนี้นั้นทุกสิ่งถูกผลักดันด้วยเทคโนโลยี เครื่องจักรที่กินพลังงานสูงที่สุดกลับไปใช่โรงงานอุตสาหกรรมอีกต่อไป หากแต่มันคือ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เราเรียกๆ กันว่า เอไอ สิ่งนี้ต้องใช้พลังในการประมวลผลมหาศาลอยู่เบื้องหลังแอปพลิชันและบริการที่เราคุ้นเคย

           ดังกล่าวนี้เป็นมิติหรือประเด็นใหม่ของวงการการรักษาสิ่งแวดล้อม แม้ว่าเทคโนโลยีจะเป็นตัวช่วยพัฒนาเศรษฐกิจได้เป็นจำนวนมาก สร้างนวัตกรรม และยกระดับคุณภาพชีวิต แต่ระบบเครือข่ายดิจิทัลที่รองรับมัน กลับว่ากำลังก่อให้เกิดภาระต่อโลกอย่างไม่คาดคิด

 

ว่ากันที่ ทำไมศูนย์ข้อมูลถึงใช้พลังานค่อนข้างมาก?

           ในโลกออนไลน์ ทุกการกดไลก์ ทุกการชมวิดีโอ ทุกอีเมลที่ส่งออกไป ล้วนต้องผ่าน “บ้านหลังใหญ่ของอินเทอร์เน็ต” ซึ่งก็คือศูนย์ข้อมูล ที่ภายในประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์นับพันนับหมื่นเครื่องทำงานตลอด 24 ชั่วโมงโดยไม่เคยหยุดพัก ซึ่งเหตุผลที่ศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานคือ

           - พลังงานสำหรับการประมวลผล : เซิร์ฟเวอร์ต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อให้เว็บไซต์หรือบริการออนไลน์ทำงานได้ทันทีที่ผู้ใช้เรียกใช้งาน

           - พลังงานสำหรับระบบทความเย็น : การประมวลผลทำให้เกิดความร้อนสูงมาก หากไม่มีการระบายความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ เซิร์ฟเวอร์อาจล่มทั้งระบบ ซึ่งมีผลการวิจัยจำนวนไม่น้อยที่ระบุว่า พลังงานสำหรับทำความเย็นอาจมากถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ของพลังงานทั้งหมดในศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่ง

           - การสำรองระบบ : ศูนย์ข้อมูลต้องมีระบบสำรองไฟฟ้า เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และเครือข่ายที่ทำงานซ้อนกันเพื่อให้บริการไม่ล่มแม้เพียงวินาทีเดียว

           กล่าวคือ เมื่อทั้งหมดนี้มารวมตัวกัน จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นหนึ่งใน “ผู้บริโภคไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก” โดยมีบางประเทศที่ภาคส่วนนี้ใช้พลังงานเทียบเท่าการใช้ไฟฟ้าของทั้งเมือง

 

AI : ตัวเร่งที่ทำให้ปัญหานี้หนังยิ่งขึ้น จริงไหม?

           หลายคนอาจคิดว่า AI เป็นซอฟต์แวร์ที่น้ำหนักเบาและมีประสิทธิภาพ แต่อันที่จริงแล้วเบื้องหลังของมันคืองานประมวลผลระดับหนักหน่วง โดยเฉพาะในขั้นตอนที่เรียกว่า การฝึกโมเดล (Model Training)

         การฝึกโมเดล AI หนึ่ง โมเดล อาจต้องใช้การ์ดประมวลผล GPU/TPU จำนวนหลายร้อยถึงหลายพันตัว การทำงานอย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และอาจต้องใช้พลังงานไฟฟ้ารวมที่มากพอ ๆ กับการใช้ของบ้านหลายพันหลังในหนึ่งปี และนั่นเป็นเพียงครั้งเดียวของการฝึกโมเดลหลักเท่านั้น โดยหลังจากนั้นยังมีการปรับแต่ง การอัปเดต และกระบวนการให้ผู้ใช้นับล้านเรียกใช้งานในทุกๆ วินาที

           ดังนั้น ยิ่งเอไอมีความฉลาดมากขึ้น มีผู้ใช้งานมากขึ้น หรือมีโมเดลขนาดใหญ่ขึ้น การใช้พลังงานก็สูงขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

 

เมื่อพลังงานส่วนใหญ่ยังมาจากฟอสซิล คาร์บอนก็ยังเพิ่มขึ้น

           หากไฟฟเที่ใช้ในการประมวลผลเหล่านี้มาจากถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ ผลที่ตามมาคือการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อยางมหาศาล จึงทำให้เกิดคำถามสำคัญของยุคนี้ว่า

“เรากำลังสร้างเทคโนโลยีล้ำสมัย ด้วยราคาที่โลกต้องจ่ายมากเกินไปหรือเปลา?”

           สำหรับในบางประเทศ การขยายศูนย์ข้อมูลกำลังเกินความสามารถของระบบพลังงานไฟฟ้าจนตึงไม้ตึงมือ ซึ่งอาจกระทบผู้ใช้ในที่สุด

 

ว่ากันที่แนวทางรักโลกในยุคที่เต็มไปด้วยโครงสร้างทางเทคโนโลยี

           แม้ว่าภาพรวมจะมีความท้าทาย แต่ก็ยังพอมีแนวทางก้าวหน้าอย่างยางยืนอยู่ ที่หลายองค์กรเริ่มนำมาใช้ ซึ่งช่วยให้เทคโนโลยีก้าวหน้าได้โดยไม่ทำร้ายโลกมากเกินไป

           1. ใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากที่สุด : บริษัทเทคโนโลยีขนาดยักษ์ใหญ่หลายรายเริ่มย้ายศูนย์ข้อมูล ไปยังพื้นที่ที่มีลมแรง แสงอาทิตย์ดี หรือแม่น้ำที่ให้พลังงานน้ำได้ แม้ว่าไม่ใช่สำหรับทุกประเทศที่จะกระทำได้ทันที แต่ถือเป็นทิศทางสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

           2. ออกแบบศูนย์ข้อมูลให้เย็นขึ้นโดยไม่เปลืองไฟ : อาจลองสร้างศูนย์ข้อมูลขึ้นในประเทศที่มีอาการศหนาว การใช้น้ำทะเลระบายความร้อน หรือออกแบบอาคารให้ลมผ่านโดยธรรมชาติ ซึ่งเทคนิคเล็กน้อยเหลานี้ช่วยลดพลังงานในการทำความเย็นไปได้มาก

           3. ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ : บริษัทควรเริ่มหันมาพัฒนาโมเดลที่ เล็กลงแต่ฉลาดขึ้น ซึ่งใช้พลังงานน้อยกว่าหน่วยงานต่างๆ สามารถเลือกใช้โมเดลขนาดพอเหมาะ ไม่ประมวลผลซ้ำโดยไม่จำเป็น ใช้ฮาร์ดแวร์ที่เหมาะสมแทนการใช้พลังงานสูงเกินไป

           4. โปร่งใสเรื่องการใช้พลังงาน : การรายงานตัวเลขการใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอนของบริการดิจิทัลคืออีกก้าวสำคัญ เพราะช่วยให้ทุกคน ตั้งแต่บริษัทจนถึงผู้ใช้ ตัดสินใจอย่าวรับผิดชอบมากขึ้น

 

           จากทั้งหมดที่กล่าวมา ศูนย์ข้อมูลและเอไอ ต่างไม่ใช้ผู้ร้ายสะทีเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เราทุกคนใช้อยู่ทุกวันอย่างคาดไม่ถึง ปัญหาจริงๆ ไม่ใช่การพัฒนาเอไอหรืออินเทอร์เน็ต แต่คือ การเติบโตที่รวดเร็วกว่าโครงสร้างพลังงานที่รองรับได้

           ดังนั้น แนวทางรักโลก ในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่การลดถุงพลาสติกหรือปลูกต้นไม้ แต่รวมถึงการออกแบบเทคโนโลยีให้ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า เพราะยิ่งเราผลิตข้อมูลมากเท่าใด เรายิ่งต้องสร้างระบบมากขึ้นเท่านั้น และทั้งหมดล้วนต้องใช้พลังงาน

           หากเราทำให้เทคโนโลยียั่งยืน เราก็สามารถก้าวสู่อนาคตที่ทั้ง ไฮเทค และ รักโลก ไปพร้อมกันได้อย่างเป็นรูปธรรม

 

Reference

1 :  ThairathMoney. (25 มิถุนายน 2568). AI กินไฟหนัก ยิ่งเก่งยิ่งเปลือง คุยกับ AI หนึ่งครั้ง อาจปล่อยคาร์บอนเท่าบินข้ามทวีป. AI กินไฟหนัก ยิ่งเก่งยิ่งเปลือง คุยกับ AI หนึ่งครั้ง อาจปล่อยคาร์บอนเท่าบินข้ามทวีป

2 : สุนิสา กาญจนกุล. (24 เมษายน 2567). เอไอคือจอมเขมือบพลังงานและน้ำ ต้นทุนซ่อนเร้นที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม. Thiapublica. เอไอคือจอมเขมือบพลังงานและน้ำ ต้นทุนซ่อนเร้นที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม - ThaiPublica

 


Hashtags

Comments
To join the comment, please sign in.
Sign in
Don’t have an account? Register
Loading comments...