Work-Integrated Learning: การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงกับโลกแห่งการทำงานจริง
“Learning is the process whereby knowledge is created through the transformation of experience.”
“การเรียนรู้คือกระบวนการสร้างองค์ความรู้ผ่านการแปรประสบการณ์ให้กลายเป็นความเข้าใจ”
— Kolb David
ในโลกยุคปัจจุบันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ในระบบการศึกษาแบบดั้งเดิมดุจดั่งที่ผ่านมาซึ่งเป็นแนวทางที่แยกขาดจากโลกแห่งการทำงานเริ่มแสดงข้อจำกัดมากขึ้นเรื่อยๆ กล่าวคือ เรียนก็คือเรียน ทำงานก็คือทำงาน ไม่เอาสองอย่างนี้มาผนวกร่วมกัน
ด้วยเหตุนี้ สถาบันการศึกษาหลายแห่งจึงมีความคิดริเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับแนวทางที่เรียกว่า Work-Integrated Learning (WIL) หรือ “การเรียนรู้แบบบูรณาการกับการทำงาน” ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ผสมผสานกันระหว่างการศึกษาทางทฤษฎีในห้องเรียนกับประสบการณ์จริงในสถานประกอบการ จะไม่แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิงเหมือนการเรียนในห้องเรียนแบบอื่นเหมือนที่ผ่านๆ มา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ Work-Integrated Learning จะไม่ใช่เพียงการฝึกงานหรือสหกิจศึกษาเท่านั้น หากแต่เป็นการรวมกิจกรรมหลายรูปแบบเข้าด้วยกัน เช่น โครงการวิจัยร่วมกับภาคธุรกิจ การเรียนผ่านการจำลองสถานการณ์ทางธุรกิจ การจัดทำโปรเจกต์ร่วมกับองค์กรจริง หรือแม้กระทั่งการประกอบธุรกิจขนาดเล็กโดยนักศึกษาเอง ตามที่กล่าวมา จุดร่วมของทุกรูปแบบคือ การทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก การลงมือปฏิบัติจริง ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีความคล้ายคลึงกับโลกแห่งการทำงานมากที่สุด
ว่าด้วย การเรียนรู้แบบบูรณาการกับการทำงาน?
เมื่อกล่าวถึงความหมาย สามารถเข้าใจได้ว่า Work-Integrated Learning คือ แนวทางปฏิบัติทางการศึกษาที่มีทฤษฎีรองรับอย่างชัดเจน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนหรือนักศึกษาผ่านการเชื่อมโยงหรือผสานประสบการณ์ระหว่างบริบทของการศึกษาในห้องเรียนและบริบทของการทำงานจริง โดยสามารถรวมเอาความรู้ทางวิชาการ (Academic) กับวิชาชีพ (Professional) เข้าด้วยกัน ภายใต้สภาพแวดล้อมของการทำงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในหลักสูตรของนักสึกษา เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ประยุกต์ใช้และผสมผสานความรู้ทางทฤษฎีกับการฝึกปฏิบัติในสถานประกอบการที่อยู่ในโลกแห่งความจริง
ด้าน David Allen Kolb นักทฤษฎีด้านการศึกษาชาวอเมริกันชื่อดังวัย 85 ปี เคยได้มีบทความหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งระบุว่า การเรียนรู้คือกระบวนการสร้างองค์ความรู้ผ่านการแปรประสบการณ์ให้กลายเป็นความเข้าใจ แม้จะเป็นประโยคที่ถูกกล่าวไว้เมื่อราวทศวรรษ 1980 แต่ถือเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ในรูปแบบนี้ค่อนข้างมาก
และในการเรียนรู้รูปแบบนี้ ยังเป็นแนวทางหนึ่งที่หลายๆ ประเทศในโลกเริ่มนำมาปรับใช้ในระดับอุดมศึกษากันมากขึ้น เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ สหราชอาณาจักร โดย Work-Integrated Learning จะทำหน้าที่เป็น “หมวดหมู่หลัก” ที่รวมแนวการเรียนรู้จากประสบการณ์แบบต่างๆ ที่พบได้ในบริบทของสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ
Work-Integrated Learning สำคัญอย่างไรบ้าง?
นับเป็นแนวทางที่หากนำมาใช้ได้อย่างครอบคลุม มีการจัดการที่ดี ก็ถือเป็นแนวทางที่สำคัญเป็นอย่างมากในโลกการศึกษาและการทำงานยุคปัจจุบันด้วยกับหลายๆ เหตุผลต่อไปนี้ เช่น
1. ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงระหว่างมหาวิทยาลัยกับสถานประกอบการและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง
2. ยกระดับขีดความรู้ ความสามารถของอาจารย์ผู้สอนของมหาวิทยาลัย จากการมีโอกาสในการเข้ารับการฝึกปฏิบัติทักษะ การฝึกอบรม การศึกษาดูงานในสถานประกอบการที่เป็นพาร์ทเนอร์ในการดำเนินงาน
3. กระบวนการผลิตกำลังคน การผลิตบัณฑิตของมหาวิทยาลัยมีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ผลผลิต บัณฑิตมีคุณลักษณะตรงตามความต้องการและสามารถแข่งขันได้
4. ลดปัญหาข้อจำกัดงบประมาณของมหาวิทยาลัยในการจัดหาครุภัณฑ์ หรือการสร้างห้องปฏิบัติการที่ทันสมัยและราคาแพง เพราะสามารถใช้ร่วมกับสถานประกอบการที่เป็นหุ้นส่วนและร่วมโครงการ
5. นักศึกษาของมหาวิทยาลัยสำเร็จการศึกษาโดยมีอัตลักษณ์และคุณลักษณะตรงตามเกณฑ์มาตรฐานคุณวุฒิ
6. ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายการวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตนวัตกรรม องค์ความรู้และผลิตภัณฑ์ ที่เน้นการตอบสนองต่อความต้องการของสังคม ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษา สถานประกอบการ สมาคมวิชาชีพ นักศึกษา อาจารย์และสังคม
แนวทางการปฏิบัติใช้ Work-Integrated Learning
เพื่อให้ระบบ Work-Integrated Learning สามารถไปถึงฝั่งในฝันที่ตั้งไว้ได้ ควรคำนึกถึงแนวทางต่อไปนี้
1. การออกแบบหลักสูตรอย่างมีกลยุทธ์ : ควรมีการวางแผน Work-Integrated Learning ให้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรียนรู้อย่างชัดเจน ไม่ใช่เพียงกิจกรรมเสริม โดยเน้นความต่อเนื่องของการเรียนรู้ ระหว่างชั้นเรียนกับการทำงาน
2. การเตรียมความพร้อมของผู้เรียน : ควรมีการจัดอบรม ปฐมนิเทศ และเสริมทักษะพื้นฐานให้นักศึกษา ก่อนเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ในสถานประกอบการ
3. การมีระบบติดตามและประเมินผลที่ชัดเจน : ควรมีการประเมินผลแบบหลายมิติ เช่น จากตนเอง อาจารย์นิเทศ หรือพี่เลี้ยงในสถานประกอบการ เพื่อสะท้อนภาพรวมของการพัฒนา
4. การสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน : การสร้างแรงจูงใจและนโยบายสนับสนุนจากหน่วยงานภายนอก จะช่วยให้การดำเนินการ WIL ขยายตัวและเข้าถึงได้ในวงกว้างมากขึ้น
เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ก็นำแนวคิด Work-Integrated Learning มาปรับใช้เช่นเดียวกันในการดำเนินการศึกษา ซึ่งสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้
จากทั้งหมดในบทความนี้ ทำให้ทราบได้ว่า Work-Integrated Learning คือหนึ่งในแนวทางสำคัญของการพัฒนาการศึกษาในศตวรรษที่ 21 ซึ่งไม่เพียงแค่ตอบโจทย์เรื่อง “เรียนเพื่อทำงาน” แต่ยังเป็นส่วนช่วยในการพัฒนาคนให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้ตลอดชีวิต และเป็นกำลังสำคัญของสังคมในอนาคตอย่างแท้จริง หากมีสถาบันการศึกษาและมาส่วนต่างๆ สามารถร่วมกันออกแบบและส่งเสริมระบบ Work-Integrated Learning ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบการศึกษาของไทยจะสามารถก้าวสู่การเป็น “การศึกษาที่ตอบโจทย์ชีวิตและการทำงาน” ได้อย่างไม่ยากเย็น
Reference
1 : Toronto Metropolitan University. (n.d.). Kolb’s Experiential Learning Cycle. Kolb’s Experiential Learning Cycle - Experiential Learning - Toronto Metropolitan University (TMU)
2 : Julia Bleakney. (13 September 2019). What is Work-Integrated Learning?. ELON University. What is Work-Integrated Learning? - Center for Engaged Learning
3 : สาขาวิชาสารสนเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. (ม.ป.ป.). WORK INTEGRATED LEARNING คู่มือการบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน (WIL). Handboo_rev15
4 : ฝ่ายศูนย์ฝึกประสบการณ์วิชาชีพและสหกิจศึกษา คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม. (ม.ป.ป.). WiL Work-integrated Learning. WiL_Work_integrated_Learning.pdf
Categories
Hashtags