ในยุคที่องค์กรต้องรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การรักษาความปลอดภัยแบบเดิม ๆ ที่อาศัยการป้องกันจากรอบนอกเครือข่าย (Perimeter-Based Security) ไม่เพียงพออีกต่อไป แนวคิด Zero Trust Security จึงกลายมาเป็นหนึ่งในมาตรฐานใหม่ที่องค์กรทั่วโลกหันมาใช้ เพื่อยกระดับการป้องกันภัยไซเบอร์โดยเน้นที่การ ยืนยันตัวตนและตรวจสอบสิทธิ์อย่างเข้มงวดก่อนการเข้าถึงระบบ ไม่ว่าจะเข้าจากที่ใด อุปกรณ์ใด หรือแม้กระทั่งจากภายในองค์กรเองก็ตาม
Zero Trust คืออะไรในบริบทของการยืนยันตัวตน
Zero Trust Security คือ แนวทางความปลอดภัยที่เชื่อว่าทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ อุปกรณ์ หรือแอปพลิเคชันจะต้องผ่านการตรวจสอบก่อนเข้าถึงระบบเสมอ แนวคิดนี้ยึดหลัก "ไม่เชื่อใครโดยอัตโนมัติ" (Never trust, always verify) หมายถึง แม้ผู้ใช้จะอยู่ภายในองค์กร ก็ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้จนกว่าจะมีการพิสูจน์ตัวตนที่ถูกต้อง ในทางปฏิบัติ Zero Trust คือ ระบบที่บังคับให้มีการตรวจสอบตัวตนแบบหลายชั้น (Multi-Factor Authentication) การตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์ที่ใช้ และวิเคราะห์บริบทการใช้งาน เช่น ตำแหน่งที่ตั้ง เวลาการใช้งาน และพฤติกรรมของผู้ใช้ เพื่อยืนยันความถูกต้องและความปลอดภัยก่อนให้เข้าถึงทรัพยากรภายในองค์กร ทำไม Zero Trust จึงเป็นสิ่งจำเป็น
- องค์กรต้องรับมือกับการทำงานแบบ Hybrid และ Remote ซึ่งเพิ่มช่องทางการเข้าถึงระบบจากนอกเครือข่ายมากขึ้น
- การโจมตีแบบ Identity Theft และ Credential Hacking กลายเป็นปัญหาหลักในการละเมิดระบบ
- อุปกรณ์ส่วนตัวของพนักงาน (BYOD) มีความเสี่ยงต่อมัลแวร์และข้อมูลรั่วไหลหากไม่มีการควบคุม
- กฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัย เช่น PDPA, GDPR และ ISO/IEC 27001 ต่างแนะนำหรือกำหนดให้มีการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลอย่างเข้มงวด
การทำงานของ Zero Trust ที่เน้นการยืนยันตัวตน
- การพิสูจน์ตัวตนหลายชั้น (MFA) ไม่อนุญาตให้เข้าระบบเพียงแค่กรอกรหัสผ่าน แต่ต้องใช้ OTP, อุปกรณ์ยืนยันตัวตน หรือไบโอเมตริกซ์ร่วมด้วย
- ตรวจสอบบริบทก่อนอนุญาต เช่น หากผู้ใช้พยายามล็อกอินจากตำแหน่งที่ไม่เคยใช้มาก่อน หรือจากอุปกรณ์ใหม่ ระบบจะตั้งข้อสงสัยและอาจบล็อกการเข้าถึงชั่วคราว
- การประเมินอุปกรณ์ (Device Posture) ระบบจะเช็กว่าอุปกรณ์มีแอนตี้ไวรัสหรือไม่ อัปเดตซอฟต์แวร์ล่าสุดหรือเปล่า ก่อนอนุญาตให้เข้าถึงเครือข่าย
- การจำกัดสิทธิ์แบบ Least Privilege Access ผู้ใช้แต่ละคนจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงเฉพาะข้อมูลหรือระบบที่จำเป็นต่อหน้าที่ของตนเท่านั้น
- การเฝ้าระวังพฤติกรรมแบบ Real-time ระบบสามารถตรวจจับพฤติกรรมการใช้งานที่ผิดปกติ เช่น การดาวน์โหลดข้อมูลจำนวนมากผิดปกติ และหยุดการกระทำเหล่านั้นได้ทันที
Zero Trust Security ช่วยองค์กรได้อย่างไร
- ลดความเสี่ยงจากการเจาะระบบโดยใช้บัญชีผู้ใช้ เพราะทุกครั้งต้องยืนยันตัวตน ไม่ว่าผู้ใช้จะเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน และไม่สามารถเข้าถึงระบบได้หากไม่มีการพิสูจน์ความถูกต้องที่หลากหลาย ทั้งในแง่ของตัวบุคคลและอุปกรณ์ ช่วยป้องกันการโจมตีแบบใช้บัญชีภายในที่รั่วไหลหรือถูกขโมย
- ป้องกันภัยจากภายใน (Insider Threat) เพราะไม่มีใครได้รับสิทธิ์เต็มระบบโดยไม่จำเป็น ทุกคนจะถูกกำหนดสิทธิ์ให้เข้าถึงเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ ทำให้หากมีพนักงานเจตนาร้าย ระบบก็สามารถจำกัดผลกระทบและติดตามย้อนกลับได้
- ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย ที่หลายองค์กรจำเป็นต้องปฏิบัติตาม เช่น ISO 27001, GDPR หรือ PDPA โดย Zero Trust ช่วยให้องค์กรสามารถควบคุมการเข้าถึงข้อมูลและตรวจสอบย้อนหลังได้ตามมาตรฐานที่กำหนด
- เพิ่มความมั่นใจให้กับคู่ค้าและผู้ใช้งาน ว่าระบบขององค์กรมีมาตรฐานในการปกป้องข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า เอกสารภายใน หรือระบบการให้บริการ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการทำงานร่วมกันอย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
เริ่มต้นใช้ Zero Trust สำหรับองค์กร
- ประเมินทรัพยากรที่ต้องปกป้องและกลุ่มผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยง
- นำระบบ Multi-Factor Authentication มาใช้เป็นขั้นตอนแรก
- ปรับปรุงระบบจัดการอุปกรณ์ขององค์กรให้สามารถตรวจสอบสถานะได้
- ใช้เครื่องมือ Security Analytics เพื่อวิเคราะห์และตรวจจับความผิดปกติของผู้ใช้
- พัฒนาแผนรับมือหากมีการละเมิดและฝึกซ้อมการตอบสนองอย่างสม่ำเสมอ
สรุป
Zero Trust Security ไม่ได้เป็นเพียงแค่นโยบายด้านความปลอดภัย แต่เป็นแนวทางเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงในยุคที่การทำงานไม่มีขอบเขตตายตัว ทั้งการทำงานจากระยะไกล อุปกรณ์ที่หลากหลาย และภัยคุกคามที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นทุกวัน ด้วยการยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวด ตรวจสอบทุกพฤติกรรมการเข้าถึง และจำกัดสิทธิ์เฉพาะเท่าที่จำเป็น Zero Trust ช่วยให้องค์กรลดโอกาสการรั่วไหลของข้อมูล ป้องกันการโจมตีที่อาศัยช่องโหว่จากบัญชีผู้ใช้ และเสริมสร้างความมั่นใจให้กับพนักงาน คู่ค้า และลูกค้า
Categories
Hashtags