ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้ส่งผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดต่อโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็นปรากฎการณ์ฝนตกผิดฤดู พายุที่ทวีความรุนแรง หรือแสงแดดที่แผดเผาจนแทบละลาย สิ่งเหล่านี้ทำให้หลายคนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับ “สิ่งแวดล้อม” มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ การพัฒนาอย่างยั่งยืน กลายเป็นกระแสการเปลี่ยนแปลงสำคัญหรือเมกะเทรนด์ของโลก
อย่างไรก็ตาม พอได้ยินคำว่า Carbon Footprint หรือ Carbon Credit หลายคนยังคงรู้สึกว่า “มันคืออะไรเนี่ย..ฟังยากจัง”
วันนี้เราจึงขอชวนคุณมาร่วมทำความเข้าใจสองคำนี้ให้ง่ายขึ้น ด้วยหลักการ “บาป-บุญ” ที่พวกเราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
Carbon Footprint: "บาป" ที่เราสร้างไว้กับโลก
ลองนึกภาพ “รอยเท้า” ที่เราเดินย่ำไปบนพื้นดิน ไม่ว่าจะไปที่ไหน มักจะทิ้งร่องรอยไว้เสมอ เช่นเดียวกับการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เราต่างกำลังสร้าง “รอยเท้าคาร์บอน” หรือ Carbon Footprint ทิ้งไว้ให้กับโลกใบนี้ โดยที่เราอาจไม่เคยรู้ตัว..
แล้ว “คาร์บอน” ที่ว่านี้คืออะไร?
คาร์บอนในที่นี้หมายถึง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ และเนื่องจากเป็นก๊าซที่มีปริมาณมากที่สุด จึงถูกนำมาใช้เป็นตัวแทนในการกล่าวถึง “รอยเท้า” หรือเปรียบได้กับ “ปริมาณบาป” ที่เราสร้างขึ้นนั่นเอง
ดังนั้น Carbon Footprint จึงหมายถึง ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมและการกระทำของมนุษย์ รวมถึงภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งทุกการกระทำของเราล้วนมีส่วนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยไม่รู้ตัว ลองคิดง่าย ๆ ตั้งแต่ตื่นนอน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดไฟ เปิดน้ำ หรือแม้แต่การกดชักโครก ล้วนเกี่ยวข้องกับการใช้พลังงาน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต หรือการขับรถไปทำงานที่ปล่อย CO2 เช่นเดียวกัน
โดยเฉลี่ยแล้ว มนุษย์ 1 คนปล่อย Carbon Footprint
ประมาณ 4-5 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (Our World in data,2022)
ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเป็นค่าเฉลี่ยทั่วโลก แต่ในความเป็นจริงปริมาณการปล่อยคาร์บอนแตกต่างไปแต่ละประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกามีอัตราการปล่อยคาร์บอน 16 ตันต่อคนต่อปี ส่วนประเทศไทยปล่อยคาร์บอนเฉลี่ยที่ 3.77-3.9 ตันต่อคนต่อปี ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการปล่อยรวมประมาณ 258 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
ทว่า แม้ประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึง 1% ของการปล่อยทั่วโลก แต่กลับถูกจัดอันดับอยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบและมีความเสี่ยงจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น อันดับ 9 ของโลก
ซึ่ง Carbon Footprint สามารถคำนวณได้อย่างเป็นระบบ โดยแบ่งการคำนวณเป็น 2 ประเภท ดังนี้
รูปจาก Krung Sri Research
1. คาร์บอนฟุตพริ๊นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product: CFP) การปล่อยคาร์บอนตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การกระจายสินค้า การใช้งาน ไปจนถึงการกำจัดเมื่อหมดอายุการใช้งาน ซึ่งผู้บริโภคสามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการเลือกซื้อสินค้าและบริการ
2. คาร์บอนฟุตพริ๊นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization: CFO) การปล่อยคาร์บอนจากอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยแบ่งการปล่อยคาร์บอนเป็น 3 ขอบเขต (scope) ดังนี้
- Scope 1: การปล่อยทางตรงจากกิจกรรมของธุรกิจ คือ การปล่อยก๊าซ เรือนกระจกที่เกิดจากแหล่งกำเนิดที่องค์กรเป็นเจ้าของหรือควบคุมโดยตรง เช่น การใช้เชื้อเพลิงในยานพาหนะของบริษัท หรือการเผาไหม้เชื้อเพลิงในโรงงานผลิต
- Scope 2: การปล่อยทางอ้อมจากการใช้พลังงานที่ซื้อจากผู้ผลิตพลังงานภายนอก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ การใช้ไฟฟ้าที่องค์กรซื้อมาจากโรงไฟฟ้า ซึ่งในกระบวนการผลิตไฟฟ้านั้นมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา
- Scope 3: การปล่อยทางอ้อมอื่น ๆ ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับองค์กร แต่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการควบคุมโดยตรง เช่น การเดินทางของพนักงาน การขนส่งสินค้าโดยบริษัทภายนอก การกำจัดขยะ
แม้จะไม่ตั้งใจ แต่กิจกรรมเหล่านี้ล้วนปล่อย “ก๊าซเรือนกระจก” สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่โลกของเรากำลังเผชิญอยู่
Carbon Credit: การทำบุญให้โลก
หาก Carbon Footprint เปรียบเสมือนร่องรอยคาร์บอนที่เราทิ้งไว้ Carbon Credit ก็คือแต้มบุญ หรือโควต้า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ โดย 1 หน่วยคาร์บอนเครดิตมีค่าเท่ากับ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2e) ที่สามารถลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกไม่ให้ถูกปล่อยสู่บรรยากาศ
แล้วแต้มบุญเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? Carbon Credit เป็นกลไกทางเศรษฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากโครงการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน การขนส่ง การจัดการของเสีย หรือ การปลูกต้นไม้เพื่อดูดกลับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เมื่อโครงการเหล่านี้สามารถลดหรือดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้จริงตามมาตรฐานที่กำหนด ก็จะได้รับการรับรองให้มี "Carbon Credit" และสามารถนำเครดิตนี้ไป ขายให้กับผู้ที่ต้องการ "ทำบุญ" เพื่อชดเชย "บาป" ที่ตนสร้างไว้
- ผู้ซื้อ (Demand) ส่วนใหญ่คือองค์กร บริษัท หรือแม้แต่ประเทศที่มี Carbon Footprint สูงและไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้าหมายที่ตั้ง จึงต้องซื้อ Carbon Credit เพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนที่เกินมา คล้ายกับการ "ไถ่บาป" เพื่อให้ปริมาณการปล่อยสุทธิของตนอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด
- ผู้ขาย (Supply) คือเจ้าของโครงการที่สามารถลดหรือดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้สำเร็จตามมาตรฐาน โดยจะได้ Carbon Credit ซึ่งสามารถนำไปขายเพื่อสร้างรายได้ และนำเงินทุนนั้นไปต่อยอดพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ต่อไปได้อีก
กลไกของ Carbon Credit จึงเปรียบเสมือนการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทั่วโลก และช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของ "แต้มบุญ" ที่นำไปสู่การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลก
ประเทศไทยกับ Carbon Credit
ประเทศไทยเริ่มมีการใช้กลไกคาร์บอนเครดิตเช่นกัน แต่เป็นรูปแบบ ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ (Voluntary Carbon Market) คือ เป็นตลาดที่องค์กรหรือบุคคลทั่วไปเข้าร่วมโดยสมัครใจ เพื่อซื้อขายคาร์บอนเครดิตจากโครงการที่ได้รับการรับรอง เช่น โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (T-VER) ซึ่งดำเนินการโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) โดยในประเทศไทยอบก. จะเป็นหน่วยงานวิเคราะห์ กลั่นกรองและรับรองโครงการ
มูลค่าการซื้อขายคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของไทยในปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 85.8 ล้านบาท และมีปริมาณซื้อขาย 686,079 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ปัจจุบันมีโครงการที่ขึ้นทะเบียนกับ T-VER กว่า 400 โครงการ เช่น
- โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียแบบไม่ใช้ออกซิเจน หรือการนำขยะไปผลิตเป็นพลังงาน
- การฟื้นฟูป่า การดูแลป่าชุมชน โดยประเทศไทยโครงการปลูกป่าชายเลนเป็นที่นิยมมาก เนื่องด้วยศักยภาพที่สูงในการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ปัจจุบันจึงมีหลายบริษัทเอกชนแสดงเจตจำนงขอพื้นที่ปลูกป่าชายเลนรวมกันกว่า 500,000 ไร่ (ข้อมูลจากฐานเศรษฐกิจ, 11 พฤษภาคม 2565)
ซึ่งเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการดูดซับก๊าซเรือนกระจกคือ ต้นไม้ นั่นเอง
การที่ชุมชน องค์กร หรือบุคคลทั่วไปสามารถพัฒนาโครงการเหล่านี้และสะสม Carbon Credit ได้เป็นจำนวนมาก ไม่เพียงช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในบรรยากาศ แต่ยังสามารถนำเครดิตที่ได้ไป ขายทอดตลาดเพื่อสร้างรายได้ ให้กับชุมชนหรือผู้ดำเนินโครงการได้อีกด้วย
เมื่อเราเข้าใจถึง "บาป" จาก Carbon Footprint และ "บุญ" จาก Carbon Credit เห็นได้ว่าทั้งสองสิ่งนี้เกื้อหนุนกันในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เราไม่สามารถพึ่งพากลไกการ "ซื้อบุญ" เพียงอย่างเดียวได้ หัวใจสำคัญคือการ "ลดบาป" ( Carbon Footprint) ของเราเองในทุกวัน โดยเริ่มทำได้ง่าย ๆ
- ประหยัดพลังงาน: ปิดไฟ ถอดปลั๊ก เลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟ
- ลดการเดินทาง: ใช้ขนส่งสาธารณะ เดิน หรือปั่นจักรยาน
- ลดการบริโภคและสร้างขยะ ซื้อเท่าที่จำเป็น แยกขยะ รีไซเคิล
การตระหนักรู้และลงมือปฏิบัติเพื่อ "ลดบาป" ควบคู่กับ "การทำบุญ" จะทำให้เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง และร่วมสร้างโลกที่ยั่งยืน
รายการอ้างอิง
- วาราดา ทองจำนงค์. (18 ธันวาคม 2567). สรุปภาพรวม 'ตลาดคาร์บอน' ในปัจจุบัน จับตาเอเชียเร่งเครื่อง Carbon Pricing ในปี 2025. https://thestandard.co/wealth-in-depth-carbon-market-overview-asia-2025/
- วิรัสนันท์ ถึงถิ่น. (6 มกราคม 2568). เมกะเทรนด์ความยั่งยืนปี 2025 ตลาดคาร์บอนเครดิต-พลังงานไฮโดรเจน 'มาแรง'. https://www.bangkokbiznews.com/environment/1160677
- สถาบันการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. (2 มีนาคม 2566). Why? ทำไม "ไทย" จึงเสี่ยงได้รับผลกระทย "Climate Change" อันดับ 9 ของโลก. http://hub.mnre.go.th/th/knowledge/detail/63468
- สุภาวดี สาระวัน. (5 พฤศจิกายน 2562). Climate Change คืออะไร?. https://www.scimath.org/article-chemistry/item/10620-climate-change
- องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก. (31 กรกฎาคม 2567). 1 ปีคนทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่?. 1 ปีคนทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่?
- Prapan Leenoi. (10 February 2025). คาร์บอนฟุตพริ้นท์: ข้อมูลสำคัญในยุคโลกเดือด [Carbon footprint: Critical data in the global boiling era]. วิจัยกรุงศรี Research Intelligence. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา. https://www.krungsri.com/th/research/research-intelligence/Carbon-Footprint-2025
- Techsauce Team. (26 January 2023). Carbon Footprint คืออะไร? จะก้าวสู่การเป็นธุรกิจในยุคสังคมคาร์บอนต่ำที่ยั่งยืนต้องทำอย่างไร?. https://techsauce.co/news/carbon-footprint-to-climate-change
Categories
Hashtags