"วัดสมอราย" วัดราชาธิวาสวิหาร
Published: 5 September 2024
51 views

Rewrite from contributor ThaiLIS

ส่วนหนึ่งในภารกิจหอบรรณสารสนเทศ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ที่รวบรวมองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ 4 โดยถ่ายทอดองค์ความรู้และเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น หนังสือ บทความ นิทรรศการ ฯ โดยในครั้งนี้ได้รับโอกาสในการไปเก็บข้อมูลจากสถานที่จริงผ่านการเยี่ยมชมวัดราชาธิวาส และได้รับความเมตตาจากพระครูสิริกวีวัฒน์ (บุญธรรม กตปุญฺโญ) ในการให้ความรู้เพิ่มเติมในสถานที่หลายแห่งภายในวัด เรื่องราวน่าสนใจจนอยากจะเก็บมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ทราบ และขออนุญาตใช้ภาษาเขียนแบบง่าย ๆ เพื่อให้คนทั่วไปอ่านได้เข้าใจกัน มากขึ้น ดังเรื่องราวต่อไปนี้

ทำไมเราต้องมาวัดราชาธิวาส

วัดราชาธิวาสเคยเป็นวัดประทับจำพรรษาของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) (พระบิดารัชกาลที่ 4) เมื่อครั้งทรงผนวช และเป็นที่ประทับจำพรรษาของรัชกาลที่ 4 (ขณะนั้นยังเป็นพระภิกษุสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์ฯ) ก่อนที่จะเสด็จไปประทับ ณ วัดบวรนิเวศ

พระเจดีย์ ต้นศรีมหาโพธิ และพระแท่นศิลาอาสน์จำลอง

พระเจดีย์สันนิษฐานว่ามีมาแต่ครั้งสมัยรัชกาลที่ 4 และมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ในคราวรัชสมัยรัชกาลที่ 5 สำหรับพระแท่นศิลาอาสน์จำลอง เมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 เสด็จธุดงค์เมืองเก่าสุโขทัย ทรงพบพระแท่นบริเวณเนินปราสาท ทรงชะลอนำมาประดิษฐานไว้ใต้ต้นมะขาม หน้าพระอุโบสถวัดสมอราย ภายหลังเมื่อขึ้นครองราชย์แล้ว โปรดให้ชะลอไปไว้ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์วัด) ส่วนที่วัดราชาธิวาสจึงได้มีการจำลองไว้ ณ สถานที่เดิม

ต้นโพธิ์ลังกา (1 คู่ ทั้งด้านซ้ายและขวา)

กล่าวกันว่า ต้นศรีมหาโพธิ์นี้ปลูกในสมัยรัชกาลที่ 2 ในวันที่ 13 เมษายนของทุกปี พระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่จะมาประพรมน้ำหอมที่ต้นโพธิ์จวบจนปัจจุบัน

ในภาพนี้เป็นต้นฝั่งขวา

ชื่อวัดสมอราย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงสันนิษฐานว่า วัดนี้เป็นวัดที่สร้างมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา และทรงมีพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับชื่อวัด "สมอ" เป็นคำมาจากคำเขมรว่า ถมอ ซึ่งแปลว่า ศิลา วัดสมอราย ทรงแปลว่า วัดศิลาราย (สมาคมนักเรียนเก่าราชาธิวาส 2546:14) ซึ่งพระครูฯ ได้ขยายความให้พวกเราเพิ่มเติมว่า เดิมทีวัดนี้มีหินจำนวนมากตั้งวางอยู่เรียงราย และวัดใกล้กับวัดสมอราย คือวัดเทวราชกุญชร ที่สมัยนั้นเรียกว่า วัดสมอแครง ที่กร่อนเสียงจากภาษาเขมร อาจจะเป็นหินแข็ง หินแครง จึงชื่อวัดสมอแครง

ที่ตั้งของวัด

วัดราชาธิวาสอยู่ติดกับวัดคอนเซ็ปชัญ สมัยนั้นเรียกว่า วัดบ้านเขมร (ขณะที่ไปยืนดูในพื้นที่จริง มีระยะห่างเพียง 300 เมตร หากยังไม่มีการตัดถนน)

โดยในสมัยนั้นมีเพียงลำคลองแคบๆ กั้นกลางเท่านั้น ด้วยความที่รัชกาลที่ 4 สนพระทัยใฝ่รู้ในวิทยาการแผนใหม่ของฝรั่งตะวันตก เมื่อทรงทราบกิตติศัพท์ความรอบรู้ของสังฆราชปาลเลอกัวซ์ จึงให้นายเกิดมหาดเล็กไปเชิญมาเข้าเฝ้าที่วัดบ้าง (คณะผู้เยี่ยมชมคิดเองว่า อาจจะมีเสด็จไปด้วยตนเองบ้าง) ทำให้สังฆราชปาเลอกัวซ์ได้ถวายความรู้เรื่องสรรพวิทยาการของชาติตะวันตก เช่น ภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ภาษาละติน และภาษาฝรั่งเศส รวมทั้งเรื่องคริสต์ศาสนาแด่เจ้าฟ้ามงกุฏ (ชื่อพระยศขณะทรงผนวช) ขณะเดียวกันปาลเลอกัวซ์เองก็ได้เรียนรู้ภาษาบาลี ภาษาไทย พระพุทธศาสนา และพงศาวดารสยาม จากสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จนกระทั่งมีความเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง การได้เข้าเฝ้าและแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันนี้ ก่อให้เกิดมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างนักปราชญ์ทั้งสอง จนกลายมาเป็นพระสหายสนิทยิ่ง (มติชนอคาเดมี่ : 2566)

ธรรมยุติกนิกายเริ่มขึ้นได้อย่างไร

ในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงจัดการผนวชให้แก่พระราชโอรส คือ สมเด็จเจ้าฟ้าพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้ามงกุฎ (พระยศขณะนั้นของรัชกาลที่ 4) พระองค์ทรงผนวชเป็นพระภิกษุที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามในปี พ.ศ. 2367 ทรงใช้ฉายาว่า "วชิรญาโณ" และประทับอยู่ที่วัดมหาธาตุเพียง 3 วัน จากนั้นจึงเสด็จมาประทับอยู่ที่วัดสมอราย เนื่องด้วยพระราชประสงค์ที่จะทรงศึกษาธรรมปฏิบัติในแนวทางวิปัสสา ด้วยว่าเป็นแนวทางที่พระบรมชนกนาถทรงได้เคยศึกษาปฏิบัติมา ณ ที่วัดแห่งนี้ หลังจากที่ทรงผนวชได้ 13 วัน รัชกาลที่ 2 ทรงพระประชวรและทรงเสด็จสวรรคตโดยไม่ได้มีพระราชดำรัสในการตรัสมอบพระราชสมบัติแก่ผู้ใด พระบรมวงศานุวงศ์และเหล่าเสนาบดีได้ประชุมเห็นพ้องต้องกันว่า ควรอัญเชิญพระราชโอรสอีกหนึ่งพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ดังนั้น พระวชิรญาณจึงทรงตัดสินพระทัยที่จะยังทรงอยู่ในสมณะเพศต่อไปอย่างไม่มีกำหนดเวลา โดยมุ่งมั่นที่จะศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง พระองค์จึงทรงประทับศึกษาธรรมปฏิบัติวิปัสสนาในสำนักพระอาจารย์วัดสมอรายจนจบสิ้นและเสด็จไปประทับ ณ วัดพลับพลา เพื่อศึกษาพระพุทธฯที่วัดนี้อีกแห่งหนึ่งเป็นครั้งคราว และเสด็จไปศึกษาธรรมจากพระอาจารย์ที่วัดอื่น ๆ อีก และคำสอนพระอาจารย์ทั้งหมดไม่อาจขจัดความสงสัยของพระองค์ได้ การที่จะทราบถึงวิธีที่จะนำไปสู่ผลสูงสุดของการศึกษาพระพุทธศาสนานั้นสมควรที่จะต้องศึกษาด้านพระปริยัติธรรมอันเป็นแก่แท้อย่างจริงจัง ต่อมาพระองค์ทรงทราบว่า มีพระภิกษุชาวมอญรูปหนึ่งฉายาว่า พุทฺธวํโส อยู่วัดบวรมงคล ตำแหน่งพระสุเมธมุนีเป็นพระราชาคณะ มีความรู้ทางด้านพระธรรมวินัยและวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด พระองค์จึงเสด็จไปทรงสนทนาและทรงได้สอบถามพระวินัยต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงศึกษามา จึงทรงมีความเลื่อมใสและมีความยินดีว่า พระพุทธศานานั้นคงจะไม่เสื่อมสูญแล้วจึงทรงยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2368 (อัครพันธุ์ พันธุ์สัมฤทธิ์, 2545 : 18)

พระตำหนักพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

อาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ขนาด 5 ห้อง มีเฉลียงโดยรอบ ประดับช่อฟ้าใบระกา ปัจจุบันตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของพระอุโบสถ (เดิมพระตำหนักแห่งนี้อยู่ทางทิศใต้ของพระอุโบสถ) กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ โปรดฯ ให้สร้างถวายเป็นที่ประทับจำพรรษาของพระวชิรญาณ (รัชกาลที่ 4)

การบูรณะปฏิสังขรณ์วัด

พระครูฯ เล่าว่า ตามที่ปรากฏหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ สรุปได้ว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 นั้น มิได้ทรงบูรณะใด ๆ กับวัดนี้เลย เพียงแต่มาประทับจำพรรษาเท่านั้น แต่เริ่มมีการปฏิสังขรณ์มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว ด้วยวัดนี้มีความเก่าแก่ที่สำคัญเป็นที่ประทับจำพรรษาขณะผนวชของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี และเจ้านายชั้นสูงหลายพระองค์ รัชกาลที่ 5 ทรงเอาพระทัยใส่ในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดราชาธิวาสเป็นอันมาก เสด็จพระราชดำเนินสำรวจและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในวัดด้วยพระองค์เอง โดยการออกแบบพระอุโบสถ พระพุทธไสยาสน์ และภาพเขียนภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร เป็นผลงานชิ้นเอกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ หรือสมเด็จครู (ทรงเป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 กับพระองค์เจ้าพรรณราย)

ดังนั้น อุโบสถจึงเป็นสถานที่แห่งแรกที่เราสนใจและเดินชม

พระอุโบสถ

ด้านหน้าพระอุโบสถมีแผนที่บอกข้อมูลสำคัญในวัดหลาย ๆ แห่ง

การบูรณะปฏิสังขรณ์วัด

พระครูฯ เล่าว่า ตามที่ปรากฏหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ สรุปได้ว่า ในสมัยของรัชกาลที่ 4 นั้น มิได้ทรงบูรณะใด ๆ กับวัดนี้เลย เพียงแต่มาประทับจำพรรษาเท่านั้น แต่เริ่มมีการปฏิสังขรณ์มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว ด้วยวัดนี้มีความเก่าแก่ที่สำคัญเป็นที่ประทับจำพรรษาขณะผนวชของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี และเจ้านายชั้นสูงหลายพระองค์ รัชกาลที่ 5 ทรงเอาพระทัยใส่ในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดราชาธิวาสเป็นอันมาก เสด็จพระราชดำเนินสำรวจและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในวัดด้วยพระองค์เอง โดยการออกแบบพระอุโบสถ พระพุทธไสยาสน์ และภาพเขียนภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสวิหาร เป็นผลงานชิ้นเอกของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ หรือสมเด็จครู (ทรงเป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 กับพระองค์เจ้าพรรณราย)

ดังนั้น อุโบสถจึงเป็นสถานที่แห่งแรกที่เราสนใจและเดินชม

พระอุโบสถ

ด้านหน้าพระอุโบสถมีแผนที่บอกข้อมูลสำคัญในวัดหลาย ๆ แห่ง

รูปทรงพระอุโบสถมีความแปลกเป็นพิเศษแตกต่างจากพระอุโบสถอื่น ๆ ด้วยสัดส่วนตัวอาคารที่มีความสูงเกล้เคียงกับส่วนหลังคา เหนือชายคาปีกนกลงมาถึงบริเวณคอสอง ตกแต่งด้วยซุ้มบันแถลง 3 ซุ้ม นอกจากนี้ด้านหน้ามีเสาหงศ์คู่โดยสมเด็จครูทรงออกแบบเป็นหงส์หล่อสำริดยืนอยู่ภายใต้ฉัตร 5 ชั้น

พระอุโบสถวัดราชาธิวาส เป็นต้นแบบในการออกแบบหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

กระบวนลายที่ใช้ตกแต่งหน้าบันและซุ้มบันแถลงมีทั้งลายไทยและลายผักกูดแบบเขมร

ด้านหลังพระประธานก่อเป็นซุ้มตกแต่งด้วยพระราชลัญจกรห้ารัชกาล

รัชกาลที่ 1-5

ภายในพระอุโบสถส่วนกลางเป็นที่ประดิษฐานพระสัมพุทธพรรณีจำลอง

รัชกาลที่ 5 ทรงให้สร้างเป็นพระประธานภายในพระอุโบสถวัดนี้เพื่ออุทิศถวายแด่รัชกาลที่ 4 โดยพระองค์เจ้าประดิษฐวรการออกแบบปั้น โดยการถ่ายแบบจากพระสัมพุทธพรรณีในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์เดิมที่ร.4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นขณะผนวชและประทับจำพรรษาที่วัดสมอราย (สมาคมนักเรียนเก่าราชาธิวาส 2546:103) ด้านหน้าพระสัมพุทธพรรณีจำลองภายในพระอุโบสถ มีพระนิรันตราย อยู่ด้านหน้า ซึ่งเป็นองค์หนึ่งใน 18 องค์ที่ ร.4 โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2411 ตามแบบพระนิรันตรายในพระที่นนั่งอภิเนาว์นิเวศน์ เท่ากับจำนวนปีที่พระองค์เสด็จดำรงสิริราชสมบัติ แต่การหล่อยังไม่แล้วเสร็จเสด็จสวรรคตเสียก่อน ร.5 จึงโปรดฯ ให้ช่างทำต่อจนแล้วเสร็จ และพระราชทานแก่พระอารามในพระธรรมยุติกาตามพระราชประสงค์ในพระบรมราชชนก

พระสัมพุทธพรรณีจำลองได้รับการประกาศให้เป็นโบราณวัตถุสำคัญของชาติ ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 66 ตอนที่ 64 วันที่ 22 พฤศจิกายน 2492

พระสัมพุทธวัฒโนภาส

พระประธานองค์เดิมในพระอุโบสถ (ด้านใน) ใต้ฐานประดิษฐานพระบรมราชสรี- รางคารสมเด็จพระศรีวรินทิรา บรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า และเส้นพระเกศาสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 7 เบื้องหน้ามีพระพุทธรูปคู่ประทับนั่งปางมารวิชัย บนฐานชุกชีเดียวกัน

ด้านมุมซ้ายและด้านมุมขวาของพระอุโบสถมีพระบรมรูปขนาดครึ่งพระองค์ ทั้งพระบรมรูปรัชกาลที่ 4 และพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ซึ่งแกะสลักด้วยหินอ่อนโดยช่างชาวอิตาลี

จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ

บนผนังพระอุโบสถทั้ง 3 ด้าน (ด้านหน้าและด้านข้าง) เขียนภาพเล่าเรื่องเวสสันดรชาดก 13 กัณฑ์ ด้านหลังพระประธานภายในซุ้ม เขียนภาพพระพุทธประวัติ

สมเด็จครูได้วาดภาพเขียนสีฝุ่น เวสสันดรชาดก ภาพร่างต้นแบบภาพเขียนในพระอุโบสถวัดราชาธิวาส และทรงให้นายคาร์โล ริโกลี ลงสี (ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป) ลักษณะของจิตรกรรมภายในพระอุโบสถวัดราชาธิวาสเป็นภาพเขียนแบบตะวันตก ที่มีความแตกต่างไปจากภาพเขียนในวัดอื่น ๆ เพราะ เป็นภาพบุคคลที่มีขนาดใหญ่ ท่าทางและการแสดงออกเป็นธรรมชาติและเหมือนจริง ลำดับแสดงภาพเริ่มส่วนบนด้านซ้ายของห้อง ตามเข็มนาฬิกา และจบเรื่องลงที่ส่วนบนของผนังด้านขวา

ในกัณฑ์ที่ 13 นี้นายคาร์โล ริโกลี ร่างภาพขึ้นเองตามคำแนะนำของสมเด็จครู

พระเจดีย์

รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์โดยให้สร้างครอบองค์เจดีย์เดิมที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่การยังไม่แล้วเสร็จ เสด็จสวรรคตเสียก่อน รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างต่อจนแล้วเสร็จ ซึ่งเป็นเจดีย์แบบศรีวิชัย ในซุ้มคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปในคติพุทธศาสนาลัทธิวัชรยาน ทำด้วยศิลา (ตามแบบชวา)

พระวิหาร หรือ ศาลาสมเด็จพระอัยยิกา

ที่หน้าบันมุขทั้ง 4 ของพระวิหารนี้ มีอักษรขอมแสดงหลักธรรมครบทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ทิศตะวันออก (ด้านหน้า) สุขา เมตฺเตยฺยตา โลเก - ความเป็นผู้มีเมตตา เป็นสุขในโลก ทิศตะวันตก (ด้านหลัง) นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ (ความสุขที่ยิ่งกว่าความสงบไม่มี) ทิศเหนือ อปฺปมตฺตา โหนฺตุ (จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด) ทิศใต้ สจฺจํ เว อมตา วาจา (คำพูดจริงเป็นสิ่งไม่ตาย)

ภายในอาคารประดิษฐานพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิ ขนาดเท่าคนจริง ภายใต้พุทธบัลลังก์เป็นที่บรรจุสรีราคารสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินมาตา (เจ้าจอมมารดาเปี่ยม พระสนมเอกในรัชกาลที่ 4)

ศาลาการเปรียญ

เป็นศาลาเครื่องไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จุคนได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 คน สร้างในรัชสมัย ร.5 ออกแบบโดยพระยาจินดารังสรรค์ ตามแบบศาลาการเปรียญวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง หันหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา หน้าบันม่ตราจุลมงกุฎ คอื พระเกี้ยวในรัชกาลที่ 5 และด้านหลังเป็นตราวชิราวุธ เครื่องหมายในรัชกาลที่ 6

จุดเด่นภายในศาลาการเปรียญแห่งนี้ คือ เสาไม้ขนาดใหญ่ 2 แถว 8 คู่ 16 ต้น

อาคารพิพิธภัณฑ์มหาราชานุสรณ์ ร.4

เริ่มก่อสร้าตั้งแต่ พ.ศ. 2547 แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2550 ในการสร้างอาคารมีตระกูลของมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เป็นผู้อุปถัมภ์ เนื่องจากเคยมาเป็นศิษย์วัดที่นี่ และได้ปวารณาตัวไว้ว่าจะอุปถัมภ์วัด ภายในพิพิธภัณฑ์ฯ ได้รวบรวมโบราณวัตถุที่ท่านเจ้าอาวาสได้รับพระราชทานมา แบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ มาจัดแสดงแต่มิได้เปิดให้ชมสาธารณะ แบ่งออกเป็น 5 ห้องจัดแสดง (และกำลังทำห้องที่ 6) ชั้น 2 ของอาคาร ได้แก่ ห้องภูษาแพรพรรณ เกี่ยวกับโบราณวัตถุผ้า ห้องป้านชาและเครื่องกระเบื้องเคลือบ ห้องเครื่องมุก เครื่องถมปัด และเครื่องเบญจรงค์ ห้องเครื่องทองเหลืองและเครื่องเขิน ห้องคัมภีร์ใบลานและตู้พระธรรม จัดแสดงโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับ “กระดาษ” เนื่องในพระพุทธศาสนา เช่น สมุดไทย คัมภีร์โบราณ รวมถึงตู้พระธรรมสำหรับใส่หนังสือที่จั้งอยู่กลางห้อง มีพระบรมฉายาลักษณ์และตราพระราชสัญลักษณ์ในรัชกาลที่ 6 สำหรับห้องที่ 6 เป็นห้องรวบรวมสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับรัชกาลที่ 4 เช่น พระบรมรูป พระบรมสาทิสลักษณ์ พระบรมฉายาลักษณ์ เป็นต้น

อ้างอิง

มติชนอคเดมี่. (2566). รู้จัก “สังฆราชปาลเลอกัวซ์” พระสหายสนิท รัชกาลที่ 4 !!. URL: https://www.matichonacademy.com/tour-story/รู้จัก-สังฆราชปาลเลอกั, สืบค้นเมื่อ 16 เมษายน 2566.

สมาคมนักเรียนเก่าราชาธิวาส. (2546). ศิลปกรรมวัดราชาธิวาส. กรุงเทพฯ: ศิวัฒน์ การพิมพ์.

อัครพันธุ์ พันธุ์สัมฤทธิ์, 2545, การศึกษาสถาปัตยกรรมวัดราชาธิวาสวรวิหาร (วัดสมอราย), วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.

ภาพปกจาก ChatGPT4o

Comments
To join the comment, please sign in.
Sign in
Don’t have an account? Register
Loading comments...