The King of Siam Eclipse
Published: 21 July 2025
13 views

ทุกคนย่อมรู้ดีกันว่า วันวิทยาศาสตร์ไทยตรงกับวันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี และถ้าให้ย้อนความว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นวันนั้น หลายคนคงตอบได้ว่า เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำนายเหตุการณ์สุริยุปราคาได้อย่างแม่นยำ และหากต้องเล่าในฐานะลูกพระจอมเกล้า นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีจะตอบอย่างไรดี วันนี้รวบรวมเนื้อหาที่สำคัญ ๆ มาให้แล้ว (English version is page down)

สิ่งทันสมัยเมื่อกาลนั้น

ก่อนสิ่งที่ค้นพบอย่างยิ่งใหญ่และเป็นที่รู้จักอย่างสุริยุปราคาใน พ.ศ. 2411 ย่อมมีรากฐานจากการศึกษาหาความรู้ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยความที่พระองค์ทรงผนวชถึง 27 พรรษาจึงทำให้มีช่วงเวลาในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง ประจักษ์รู้เป็นประสบการณ์แก่ตัวของพระองค์สูง พระองค์จึงมีอัจฉริยภาพในหลายด้านมาก แต่ที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักแก่สายตาโลกนั้นเป็นด้านโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ โดยพระองค์เป็นผู้ริเริ่มระบบนาฬิกาในประเทศไทย เราลองมองย้อนนึกไปในสมัยนั้น เราไม่สามารถนัดแนะเวลากันได้อย่างชัดเจนได้ว่าจะพบกันกี่โมงดี แต่ประเทศไทยที่ตั้งอยู่ใกล้เขตศูนย์สูตรที่มีพระอาทิตย์ตรงหัว ก็รู้ได้ว่า เวลานี้คือเที่ยง ดังนั้น ระบบมาตรวัดเวลาจึงไม่ต้องรีบมี หรือรีบคิดระบบนาฬิกาก็ได้ แต่พระองค์ทรงพระปรีชาในการสถาปนาเวลามาตรฐานทำให้เรานัดกันได้ในแบบที่มีนาฬิกาบอก ไม่ต้องตั้งอ่างน้ำลอยกะลามะพร้าวอีกต่อไป ด้วยพระองค์ตรวจวัดความสูงของดวงอาทิตย์และทรงคำนวณทางดาราศาสตร์ทุกวัน ทรงใช้กล้องโทรทรรศน์ประเภทหักเหแสง กำหนดเส้นแวงหลักของไทย (มจธ : หน้า 152, 2550) เห็นได้จากพระที่นั่งภูวดลทัศไนยในหมู่พระอภิเนาวนิเวศน์ที่สร้างขึ้นแบบตะวันตกเป็นหอสูง มี 5 ชั้น เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลาเป็นมาตรฐานคล้ายกับสมัยนี้ที่ทุกจังหวัดย่อมมีหอนาฬิกาของตัวเอง

แม้ว่าช่วง พ.ศ. 2397 พระองค์จะทรงสร้างระบบเวลามาตรฐาน แต่อีกหลายครั้งที่แสดงถึงพระปรีชาทางด้านดาราศาสตร์

พ.ศ. 2401 ประกาศดาวหาง

พ.ศ. 2402 ประกาศมหาสงกรานต์ แจ้งวันที่จะมีจันทรุปราคาในปี 2503 ที่เมืองตราด จันทบุรี ชลบุรี พนัสนิคม ฉะเชิงเทรา

พ.ศ. 2404 ประกาศดาวหาง สุริปราคา เห็นที่กรุงเทพฯ

พ.ศ. 2405 ประกาศจันทรุปราคา เกิดในเวลากลางวัน ไม่เห็นในกรุงเทพฯ ประกาศสุริยุปราคา 2 ครั้งว่าเกิดในกลางวันแต่ไม่เห็นในสยาม

ทรงประกาศปรากฏการณ์ในท้องฟ้าอื่น ๆ เช่น ดาวเสาร์เข้าใกล้ดวงจันทร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2394-2411 (ณ หว้ากอ: หน้า 41, 2561)

การเรียนรู้ตลอดชีวิตของพระองค์ท่าน

นอกจากพระองค์กำหนดเส้นแวงหลักเป็นเส้น 100 องศาตะวันออกในสมัยนั้นจนได้ระบบนาฬิกามาแล้ว จดหมายเหตุฉบับหนึ่งก็สะท้อนได้ว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ Life long learning จากเนื้อหาในบทความของคุณกอบแก้ว อัครคุปต์ ตามรอยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ หว้ากอ ซึ่งแสดงพระราชหัตถเลขาถึง Mr. E. Stephan โดยแปลไทยไว้ว่า "ข้าพเจ้าต้องขอกล่าวว่า ด้วยความสัจจริงแล้ว ความรู้ของข้าพเจ้าด้านดาราศาสตร์นั้นมีเพียงเล็กน้อยจนแทบจะไม่มีความหมายใด ๆเลย ข้าพเจ้าได้เริ่มศึกษาศาสตร์นี้จากดาราศาสตร์สยามและมอญ ซึ่งได้นำมาจากหนังสือฮินดูโบราณและได้รับการแปลมาอีกที โดยหนังสือนี้มีชื่อว่า Suruyasiddhant, Varoha-Mihirat, Kaju-Multant และเล่มอื่น ๆ อีก จนมาในภายหลัง ข้าพเจ้าได้ลองอ่านหนังสือดาราศาสตร์ของทางยุโรปหลายเล่มด้วยกัน รวมทั้งการคำนวณตำแหน่งทางดาราศาสตร์และเรขาคณิต..." จะเห็นได้ว่า แม้ว่าพระองค์จะศึกษามาอย่างมากมายแต่ก็ยังเขียนจดหมายเหตุ (พระราชหัตถเลขา) ถึงนักดาราศาสตร์ฝรั่งเศสในสมัยนั้น ซึ่งบอกเล่าได้โดยสรุปว่า พระองค์ศึกษาอะไรมาบ้าง (ปรากฏหลักฐานเป็นจดหมายเหตุในการสั่งซื้อหนังสือมากมาย) และมีความรู้ใน logarithm ตรีโกณมิติ จนทำให้สังเกตได้ว่า มีจุดที่สามารถสังเกตการเกิดสุริยุปราคาในสยามได้ และสภาพภูมิประเทศ สภาพภูมิอากาศของสยามมีความเป็นไปอย่างไรในการสังเกตการณ์ได้

สุริยุปราคาในรอบ 300 ปี เป็นที่ฮือฮาในนักวิทยาศาสตร์สมัยนั้น

ด้วยการโทรคมนาคมที่ยังไม่สะดวกเท่าปัจจุบัน เมื่อมีการค้นพบสิ่งใดจะให้เป็นที่รู้จักทำได้เพียงตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ วารสาร และส่งจดหมายตอบโต้ระหว่างกันเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม จากที่เราอ่าน ๆ มาในช่วงต้นเราจะเห็นว่า มีประกาศการเกิดสุริยุปราคามาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งที่สมบูรณ์ที่สุด เกิดขึ้นนาน พาดผ่านและเห็นในหลายประเทศครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น (ณ หว้ากอ: หน้า 45, 2561) โดยแนวพาดผ่านสุริยุปราคาอยู่ที่เมืองเอเดนในประเทศเยเมน ประเทศอินเดียในเมืองมาซูลิปถัม ช่องแคบมะละกาจรดกับแหลมกัมพูชา เกาะสุลาเวสีของอินโดนีเซีย และพาดผ่านตามแนวยาวทางใต้ของเกาะนิวกินี

เยอรมันเลือกดูที่เมืองเยเมน, อังกฤษเลือกดูที่อินเดีย เมืองมาซูลิปถัม , นักดาราศาสตร์ฮอลแลนด์ เลือกดูที่อินโดนีเซีย เกาะสุลาเวสี สำหรับฝรั่งเศสเดิมทีตั้งใจจะไปสังเกตการณ์ที่ประเทศใกล้อาณานิคมของตน จึงจะเลือกกัมพูชา แต่เพราะชัยภูมิที่ยากในการตั้งจุดสังเกตเต็มไปด้วยหนอง บึง และป่าโกงกาง เมื่อ Mr.Edouard Stephan (มิสเตอร์เอดัวร์ สเตฟาน) ได้รับพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 4 ในการแลกเปลี่ยนความรู้ จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการสังเกตการณ์ด้วย

สยามต้อนรับอย่างหรูหรา

มิสเตอร์สเตฟาน ได้บรรยายถึงสภาพของหว้ากอ ส่วนหนึ่งว่า "เช้าวันที่ 25 ก.ค. 2411 มองเห็นเกาะเหลือม ... ตรงที่ตั้งหอดูดาวเป็นพื้นทรายกว้างราว 100-200 เมตร" ที่พักเป็นเรือนไม้ไผ่สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนานกับทะเลห้องเปิดกว้างสู่ทะเล เฉลียงยาวแบ่งออกเป็นหลายห้อง คณะของเขาพักที่หว้ากอจนถึง 21 ส.ค. 2411 โดยได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 4 ในวันที่ 11 ส.ค. ได้รับพระราชทานทองบางสะพานกับกลุ่มคณะ ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ส.ค. รัชกาลที่ 4 เสด็จฯ เยี่ยมค่ายของนักดาราศาสตร์ฝรั่งเศส พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยในอุปกรณ์ดูดาวต่าง ๆ อย่างมาก "การที่พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานมาถึงหว้ากอทำให้เราเชื่อว่าทรงมุ่งมั่นจริงจังในวิทยาศาสตร์เป็นอันมาก" มีกว่าสิบลำเรือจากคณะทูตและผู้ติดตามจากประเทศต่าง ๆ มาเข้าเฝ้าฯ ทางสยามให้การต้อนรับอย่างดียิ่ง มีการส่งพ่อครัวชาวฝรั่งเศส อิตาเลียน ลูกมือชาวท้องถิ่นมาคอยให้บริการพระราชอาคันตุกะทั้งฝรั่งเศส อังกฤษ สิงคโปร์ ฯ มีทั้งอาหารเลื่องชื่อ ไวน์หลายชนิด รวมทั้งน้ำแข็งในปริมาณมาก คณะที่มาในครั้งนี้ไม่คาดคิดเลยว่า ท่ามกลางป่าเขา สยามจะให้การต้อนรับได้หรูหราขนาดนี้

อากาศขมุกขมัวนึกว่าจะไม่ได้เห็นปรากฏการณ์นี้

พระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขา กล่าวถึงสภาพอากาศที่ขมุกขมัวตลอด ว่าจะมีเมฆก่อตัวหนากว่าปกติในหลายวันทีเดียว "..ท้องฟ้ายังคงมีเมฆหนาหลายวัน.. เกรงว่าจะผิดหวังในการเห็นคราสเต็มดวงอันน่าตื่นเต้นที่สุด..กลัวไปว่า คนที่มาด้วยกันจำนวนมากในขณะนี้จะป่วยลงด้วยไข้ป่าที่น่ากลัว.." ส่วนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาถึง กลสุลสยามประจำกรุงปารีส เมอสิเออร์ เดอ เกรฮาง ซึ่งพระองค์ทรงคำนวณไว้ว่าจะเกิดสุริยุปราคาเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 ในเวลา 10.36 น. และจะหลุดคราสในเวลา 13.09 น. แต่เช้าวันนั้น ท้องฟ้าเมฆฝนคลุม อากาศเริ่มดีขึ้นเมฆคลายออกจนเห็นดวงอาทิตย์ ในเวลา 10.46 น. และก็เห็นว่ามีสุริยุปราคาเกิดต่อหน้าทุกคนแล้ว ซึ่งหมดคราสในเวลาที่พระองค์ทรงพยากรณ์ไว้อย่างไม่คลาดเคลื่อน พระราชอาคันตุกะ คณะทูต ต่างแสดงความยินดี ด้วยความที่ล้วนเกิดขึ้นจริงตามที่พระองค์คำนวณไว้ทุกประการ จากการศึกษาค้นคว้าการคำนวณในแบบทั้งตะวันตกและตะวันออก ผู้เข้าร่วมสังเกตการณ์จึงขนานนามพระองค์ในขณะนั้นว่า The King of Siam Eclipse และยกย่องพระองค์ในฐานะนักดาราศาสตร์



ยังมีรายละเอียดอีกมากมายทั้งการสังเกตอุณหภูมิที่ลดลงในขณะนั้น หรือสภาพของพืชพรรณ สัตว์ต่าง ๆ รวมทั้งการเป็นสาเหตุการสวรรคตของพระองค์ด้วยทรงพระประชวรด้วยโรคไข้ป่าหลังจากการเสด็จกลับการทอดพระเนตร หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นคว้าต่อไปให้แก่ใครหลาย ๆ คนได้ไม่มากก็น้อย



บรรณานุกรม

สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. (2561). ณ หว้ากอ อดีต ปัจจุบัน อนาคต. กรุงเทพฯ. สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์.

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี. (2547). พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ. อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง.

ขาว เหมือนวงศ์. (2548). พระอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. วารสารราชบัณฑิตยสถาน. 30 (1), 22-57. https://www.orst.go.th/FILEROOM/CABROYINWEB/DRAWER004/GENERAL/DATA0000/00000645.FLP/html/22/.



Translated by ChatGPT

The King of Siam Eclipse – The Story Behind Thai Science Day

Everyone knows that Thai Science Day is celebrated on August 18 each year. If we look back at why that date was chosen, many could answer that it was the day King Mongkut (Rama IV) accurately predicted a solar eclipse. But as “children of King Mongkut,” how would KMUTT students tell this story? Here’s a summary of the key events.


Modern Achievements of His Time

Before the world-renowned solar eclipse of 1868, there was a foundation built upon King Mongkut’s lifelong pursuit of knowledge. Having been a monk for 27 years, he had the time to study and learn independently, gaining remarkable expertise in many areas. But it was his skills in astronomy and astrology that gained him international recognition.

He introduced Thailand’s first standard time system. In those days, people could not arrange exact meeting times; living near the equator, they only knew that when the sun was directly overhead, it was noon. But through his daily observations—measuring the sun’s altitude and making astronomical calculations using a refracting telescope—he established a precise time standard. This replaced older, imprecise methods like floating a coconut shell in a water basin to mark time. He even defined Thailand’s prime meridian and built Phra Thinang Phra Wudon Thatnaree, a five-story Western-style clock tower in the Grand Palace, similar to clock towers in today’s provincial cities.


Early Astronomical Predictions

While his standard time system was completed in 1854, King Mongkut continued to demonstrate his astronomical skills:

  • 1858 – Announced a comet sighting
  • 1859 – Announced the Maha Songkran date and a lunar eclipse visible in several provinces in 1860
  • 1861 – Announced a comet and a solar eclipse visible in Bangkok
  • 1862 – Announced a lunar eclipse (not visible in Bangkok) and two solar eclipses (not visible in Siam)
  • He also made public announcements about other celestial events, such as Saturn approaching the Moon (recorded from 1851–1868).

A Lifelong Learner

King Mongkut’s approach to learning reflected the spirit of lifelong learning. In a letter to French astronomer Mr. E. Stephan, he humbly wrote:

“In truth, my knowledge of astronomy is very small… I first studied Siamese and Mon astronomy, derived from ancient Hindu texts such as Suruyasiddhant, Varoha-Mihirat, and Kaju-Multant. Later, I read several European astronomy books, learning astronomical calculations and geometry…”

This humility came despite his vast knowledge, demonstrated by his ability to apply logarithms and trigonometry to determine the exact conditions in Siam for observing a solar eclipse—including geographic and climatic factors.


The 300-Year Solar Eclipse Excitement

With limited communication technology at the time, scientific discoveries were shared through newspapers, journals, and letters. Although King Mongkut had predicted several eclipses before, the 1868 solar eclipse was exceptional—long-lasting, visible across multiple countries, and scientifically significant.

Its path of totality passed through Yemen, India, the Strait of Malacca, Cambodia, Sulawesi (Indonesia), and southern New Guinea.

  • German scientists chose Yemen.
  • British scientists observed from India.
  • Dutch scientists chose Sulawesi.
  • French scientists initially planned to observe from Cambodia, but the location was unsuitable. After corresponding with King Mongkut, French astronomer Edouard Stephan requested permission to observe in Siam.

Siam’s Royal Hospitality

Stephan described Hua Hin’s Wako (Wakoa) observation site as a wide sandy area by the sea, with bamboo lodgings open to the ocean breeze. His team stayed from July 25 to August 21, 1868, meeting King Mongkut on August 11, when the king presented gifts of gold. On August 13, King Mongkut visited the French camp, showing great interest in their telescopes and instruments.

Delegations from many nations arrived—France, Britain, Singapore—and were treated with exceptional hospitality: French and Italian chefs, local assistants, fine wines, and even large amounts of ice. The scientists were astonished at such comfort in what they expected to be a remote jungle.


Cloudy Skies and a Perfect Prediction

In letters, King Mongkut expressed concern over persistent cloud cover and the risk of disappointment. He also worried about his guests’ health in the malarial region.

He predicted the eclipse would occur on August 18, 1868, at 10:36 a.m., ending at 1:09 p.m. That morning, clouds began to clear by 10:46 a.m., revealing the sun and the total eclipse exactly as predicted. Visitors were amazed by the flawless accuracy, the result of his study of both Eastern and Western astronomy. From that day, he was honored as “The King of Siam Eclipse” and recognized as a true astronomer.


A Historic Legacy

The event also included scientific observations such as drops in temperature and changes in plant and animal behavior. Sadly, King Mongkut contracted malaria during the expedition and passed away shortly afterward.

His dedication to knowledge, humility, and scientific precision not only made history but also gave Thailand its National Science Day—a reminder of the power of curiosity and lifelong learning.

Comments
To join the comment, please sign in.
Sign in
Don’t have an account? Register
Loading comments...